วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การพัฒนาบทบาทและทักษะของครูกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21


Issue:


          การพัฒนาบทบาทและทักษะของครูกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

Thesis


          การพัฒนาการเรียนรู้แบบ PBL และ 3R x 7C สามารถช่วยครูและผู้เรียนมีทักษะในการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้

          ครูเพื่อศิษย์จะต้องมีทักษะ ในการทำให้ผู้เรียนรักการเรียนรู้ และสนุกกับการเรียนรู้ หรือให้การเรียนรู้สนุกและกระตุ้นให้อยากเรียนรู้ต่อไปตลอดชีวิต ครูต้องยึดหลัก สอนน้อย เรียนมาก ในการจัดกิจกรรมต่างๆครูต้องตอบได้ว่าศิษย์ได้เรียนอะไร และเพื่อให้ศิษย์ได้เรียนสิ่งเหล่านั้น ครูต้องทำอะไร

          การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้อง ก้าวข้ามสาระวิชา ไปสู่การเรียนรู้ ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 โดยครูต้องไม่สอน แต่ต้องออกแบบการเรียนรู้ และอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนรู้จากการเรียนแบบลงมือทำ แล้วการเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจและสมองของตนเอง การเรียนรู้แบบนี้เรียกว่า PBL (Project-Based Learning) ครูเพื่อศิษย์ต้องเรียนรู้ทักษะในการออกแบบการเรียนรู้แบบ PBL ให้

เหมาะแก่วัยหรือพัฒนาการของศิษย์ สาระวิชาก็มีความสำคัญ แต่ไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิต ในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือsubject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของศิษย์ โดยครูช่วยแนะนำ และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนแต่ละคน สามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้ การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต้องเตรียมคนออกไปเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ (knowledge worker) และเป็นบุคคลพร้อมเรียนรู้ (learning person) ไม่ว่าจะประกอบสัมมาชีพใด และเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ แม้จะเป็นชาวนาหรือเกษตรกร ดังนั้น ทักษะสำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21จึงเป็นทักษะของการเรียนรู้ (learning skills) การศึกษาในศตวรรษที่ 21 จำต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะต้องเตรียมคนไปเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว รุนแรง พลิกผัน และคาดไม่ถึง คนยุคใหม่จึงต้องมีทักษะสูงในการเรียนรู้และปรับตัว

          ครูเพื่อศิษย์จึงต้องพัฒนาตนเองให้มีทักษะของการเรียนรู้ด้วย และในขณะเดียวกันก็ต้องมีทักษะในการทำหน้าที่ครูในศตวรรษที่ 21ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 ที่คนทุกคนต้องเรียนรู้ตั้งแต่ชั้นอนุบาล

ไปจนถึงมหาวิทยาลัย และตลอดชีวิต คือ 3R x 7C ครูเพื่อศิษย์เองต้องเรียนรู้ 3R x 7C และต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต แม้เกษียณอายุจากการเป็นครูประจำการไปแล้ว เพราะเป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตของตนเอง ระหว่างเป็นครู

ประจำการก็เรียนรู้สำหรับเป็นครูเพื่อศิษย์ และเพื่อการดำรงชีวิตของตนเองครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกฝนตนเองให้มีทักษะในการเป็นโค้ช และเป็นคุณอำนวย” (facilitator) ในการเรียนรู้แบบ PBL (Project-Based

Learning) ของศิษย์ ครูต้องเลิกเป็นผู้สอนผันตัวเองมาเป็นโค้ช ของการเรียนของศิษย์ที่ส่วนใหญ่เรียนแบบ PBL นั่นหมายถึงโรงเรียนในศตวรรษที่ 21 ต้องเลิกเน้นสอน หันมาเน้นเรียน ซึ่งต้องเน้นทั้งการเรียนของศิษย์และของครู ครูจะต้องปรับตัวมากซึ่งเป็นเรื่องยาก จึงต้องมีตัวช่วย คือProfessional Learning Communities (PLC) ซึ่งก็คือ การรวมตัวกันของครูประจำการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทำหน้าที่ครูนั่นเอง

 

Antithesis:


การพัฒนาการเรียนรู้แบบ PBL และ 3R x 7C ไม่สามารถช่วยครูและผู้เรียนมีทักษะในการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้

การเรียนรู้แบบ สอนน้อย เรียนมาก ต้องอาศัยครูที่มีประสบการณ์ รู้จักกระตุ้นคำถาม สร้างบรรยากาศและจัดสถานการณ์ที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ต่างๆ หากครูขาดทักษะความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับการเรียนรู้แบบ PBL และ 3R x 7C ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้

ถึงแม้ชั่วโมงเรียนของเด็กไทย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ จะมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งสวนทางกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นเกาหลีใต้และญี่ปุ่น แต่ชั่วโมงเรียนนี้ไม่ได้รวมกับช่วงเวลาที่เรียนพิเศษกับสถาบันกวดวิชาต่างๆ ซึ่งเกาหลีใต้เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ร่ำเรียนอย่างหนักหนาสาหัส หลังบ่าย 3 โมงซึ่งเป็นช่วงหลังเลิกเรียน นักเรียนทุกคนจะต้องไปเรียนเพิ่มกับสถาบันกวดวิชาอีกจนถึงเที่ยงคืนหรือตี 1 จะเห็นได้ว่าการเรียนของเกาหลีใต้มีชั่วโมงเรียนมากกว่าของไทยหลายเท่าตัว

          การเรียนรู้แบบ PBL นั้นการศึกษาของไทยได้นำมาใช้เป็นระยะเวลานานแล้ว ซึ่งไม่ใช่ของใหม่แต่ประการใด เพียงแต่ถูกนำไปใช้ในเฉพาะบางสาขาและรายวิชาเช่น การวินิจฉัยอาการของโรคต่างๆ กับนักศึกษาแพทย์ การทำงานวิจัยในระดับชั้นปริญญาตรีเป็นต้น

การเรียนรู้แบบ PBL ถ้านำไปใช้กับระดับชั้น อนุบาล หรือชั้นประถมก็ไม่อาจประสบผลสัมฤทธิ์ได้ เพราะการเรียนรู้แบบ PBL เหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิความรู้เป็นทุนในระดับหนึ่งอยู่แล้ว และสามารถค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่างๆได้เอง

ปัญหาทางด้านวัฒนธรรมของเด็กไทยคือไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นการนำไปใช้ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จได้ เพราะการเรียนรู้แบบ PBL ต้องมีการแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน ของผู้เรียนรวมอยู่ด้วย

สาระวิชาที่ได้กำหนดไว้ในทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้มีการบรรจุวิชาพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ อาจทำให้ผู้เรียนขาดเครื่องชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิต ความคิด และการประพฤติปฏิบัติต่างๆซึ่งศาสนาเป็นฐานของความดีที่ทุกคนควรยึดถือ หากขาดสิ่งนี้ก็อาจส่งผลกระทบในทักษะในด้านอื่นๆเช่น การนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ไปใช้ในทางที่ผิด การนำความรู้ทางด้านธุรกิจไปประกอบอาชีพในทางที่ผิด เป็นต้น เป็นบ่อเกิดปัญหาความวุ่นวายต่างๆในสังคมได้

Synthesis


การพัฒนาการเรียนรู้แบบ PBL และ 3R x 7C สามารถช่วยครูและผู้เรียนมีทักษะในการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้โดยต้องปรับเปลี่ยนวิธีให้สอดคล้องกับสังคมไทย

          แม้ว่าการเรียนรู้แบบ PBL และ 3R x 7C จะสามารถช่วยให้ครูและนักเรียนมีทักษะในการดำรงชีวิตศตวรรษที่ 21 ได้แต่ควรปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมของไทย เช่นการนำวิชาพระพุทธศาสนามาบรรจุไว้ในสาระวิชาหลักเพื่อหล่อหลอมให้สังคมไทยเป็นสังคมโอบอ้อมเอื้ออารี มีน้ำใจ ช่วยเหลือสังคม ไม่นำความรู้ในสาระวิชาต่างๆมาเอารัดเอาเปรียบ เพราะหากขาดศีลธรรมเป็นแกนหลัก ประเทศไทยก็จะมีแต่ปัญหา มีแต่คนเห็นแก่ตัว มีการแข่งขัน ประเทศไทยจะเดินต่อไปไม่สงบสุข ในส่วนของการเรียนรู้ตารางเวลาเรียนของไทยก็มีความเหมาะสมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนโดยใช้วิธีแบบ PBL เพิ่มเข้ามาแต่ไม่ใช่แทนที่ทั้งหมดและควรนำไปใช้กับระดับอุดมศึกษาเท่านั้น นอกจากนี้อาจนำวิธีการเรียนแบบ "ห้องเรียนกลับด้าน" หรือ "Flipped Classroom" มาประยุกต์ใช้กับการสอน ซึ่งเป็นวิธีการที่แจกสื่อการสอนให้กับนักเรียน โดยนำไปศึกษาล่วงหน้าเองที่บ้าน แล้วกลับมาซักถามข้อสงสัยและทำการบ้านในชั่วโมงเรียนแทน ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนมากขึ้น

 

 

 

แหล่งอ้างอิง
“การสอนแบบ PBL (Problem-based Learning) ใช้ได้ผลกับเด็กไทยจริงหรือ?.” 2556.  
[ระบบออนไลน์].  แหล่งที่มา http://www.oknation.net/blog/nn1234/2013/06/07/entry-1
(16 ตุลาคม 2556).
ธัญพิสิษฐ์ เลิศบำรุงชัย. 2554. เด็กไทยเรียนหนักติดอับดับโลก?.” [ระบบออนไลน์]. 
แหล่งที่มา http://www.oknation.net/blog/tanpisit/2011/12/17/entry-1
(17 ตุลาคม 2556).
ห้องเรียนกลับด้าน"สพฐ.ให้"เรียนที่บ้าน-ทำการบ้านที่ร.ร.”  2556. [ระบบออนไลน์]. 
(17 ตุลาคม 2556).
เรียนหนักขนาดดื่มกาแฟต่างน้ำ??.”  2556. [ระบบออนไลน์]. 
  (17 ตุลาคม 2556).
 

ทฤษฏี การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)

ทฤษฏี การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
ความหมาย     

          การจัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการทำงานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมกันรับผิดชอบงานในกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้เกิดเป็นความสำเร็จของกลุ่ม
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้และฝึกทักษะในการทำงานเป็นกลุ่ม
2. เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดค้นคว้า  ทักษะการแสวงหา ทักษะการคิดสร้างสรรค์  การแก้ปัญหา 
การตัดสินใจ  การตั้งคำถาม  ตอบคำถาม  การพูด ฯลฯ
3. เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทางสังคม  การอยู่ร่วมกับผู้อื่น  การมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น  การเสียสละ  การเป็นผู้นำ  ผู้ตาม  ฯลฯ

ลักษณะของการเรียนรู้แบบร่วมมือ

1. สมาชิกในกลุ่มมีจำนวนไม่ควรเกิน 6 คน

2. สมาชิกในกลุ่มต่างมีบทบาทรับผิดชอบ เช่น

                    2.1 เป็นผู้นำกลุ่ม (Leader)                  

                    2.2 เป็นผู้อธิบาย (Explainer)

                    2.3 เป็นผู้จดบันทึก (Recorder)  

                    2.4 เป็นผู้ตรวจสอบ (Checker)

                    2.4 เป็นผู้สังเกตการณ์ (Observer) 

                    2.5 เป็นผู้ให้กำลังใจ (Encourager)

 

องค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ

1. ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence)

          หมายถึง การที่สมาชิกในกลุ่มทำงานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน  มีการทำงานร่วมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมีบทบาท  หน้าที่และประสบความสำเร็จร่วมกัน

2. การมีปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Face To Face Promotive Interaction)                                       

เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความรู้ให้แก่เพื่อนในกลุ่มฟัง เป็นลักษณะสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงของการเรียนแบบร่วมมือ

3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability)                                         

          ความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละบุคคล  โดยมีการช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน  เพื่อให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมายกลุ่ม

4. การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Group Skills) ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทำงานกลุ่มย่อย เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานกลุ่มประสบผลสำเร็จ ผู้เรียนควรได้รับการฝึกทักษะในการสื่อสาร การเป็นผู้นำ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม

กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือจะต้องมีการวิเคราะห์กระบวนการทำงานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มครอบคลุมการวิเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการทำงานของกลุ่มพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่มและผลงานของกลุ่ม การวิเคราะห์การเรียนรู้นี้อาจทำโดยครูหรือผู้เรียน หรือทั้งสองฝ่าย การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มนี้เป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้กลุ่มตั้งใจทำงานเพราะรู้ว่าจะได้รับข้อมูลป้อนกลับ และช่วยฝึกทักษะการรู้คิด (metacognition)คือสามารถที่จะประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนที่ได้ทำไป

 

ลักษณะการจัดกิจกรรม

                    ผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันเข้ากลุ่มร่วมกันเรียกว่า  กลุ่มบ้าน  (Home  Group)  สมาชิกในกลุ่มบ้านจะรับผิดชอบศึกษาหัวข้อที่แตกต่างกัน  แล้วแยกย้ายไปเข้ากลุ่มใหม่ในหัวข้อเดียวกัน  กลุ่มใหม่นี้เรียกว่า  กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ  (Expert  Group)  เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทำงานร่วมกันเสร็จ  ก็จะย้ายกลับไปกลุ่มเดิมคือ  กลุ่มบ้านของตน  นำความรู้ที่ได้จากการอภิปรายจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมาสรุปให้กลุ่มบ้านฟัง  ผู้สอนทดสอบและให้คะแนน

รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ

รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือที่นิยมใช้ในปัจจุบัน  มี   7  รูปแบบ  ดังนี้

1. รูปแบบ Jigsaw 

เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อภาพ คือ ผู้เรียนจะทำงานเป็นกลุ่มที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อย  และเตรียมพร้อมที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง  ผู้เสนอวิธีการนี้คนแรก คือ  อารอนสันและคณะ (Aronson and Others )

2. รูปแบบ STAD (Student Teams – Achievement Division) 

          สลาวิน  (Slavin : 1980)  ได้เสนอรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีมเป็นวิธีการหนึ่งในการวางเงื่อนไขให้นักเรียนพึ่งพากันแม้แต่คนที่เรียนอ่อนก็สามารถมีส่วนช่วยทีมได้  ด้วยการพยายามทำคะแนนให้ดีกว่าครั้งก่อน ๆ  นักเรียนทั้งเก่ง  ปานกลาง  และอ่อน ต่างได้รับการส่งเสริมให้ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด

3. รูปแบบ  LT  (Learning  Together)

รูปแบบ  LT  (Learning  Together)  นี้  จอห์นสัน  และจอห์นสัน  (Johnson  and  Johnson)  เป็นผู้เสนอ เรียกรูปแบบนี้ว่า  วงกลมการเรียนรู้  (Circles  of  Learning)  รูปแบบนี้มีการกำหนดสถานการณ์และเงื่อนไขให้ผู้เรียนทำผลงานเป็นกลุ่ม  ให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันเอกสาร  การแบ่งงานที่เหมาะสม  และการให้รางวัลกลุ่ม

4. รูปแบบ TAI (Team Assisted Individualization)

TAI (Team Assisted Individualization) คือ วิธีการสอนที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization Instruction) เข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของตนและส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

5. รูปแบบ TGT (Teams-Games-Tournaments)

TGT เป็นกระบวนการเรียนที่เป็นการนำเสนอเนื้อหาหรือบทเรียนใหม่  รูปแบบการนำเสนออาจจะเป็นการบรรยาย  อภิปราย  กรณีศึกษาหรืออาจจะมีสื่อการเรียนรู้อื่นๆ  ประกอบด้วยก็ได้  เทคนิค TGT  จะแตกต่างจากเทคนิคอื่นๆ  ตรงที่ผู้สอนต้องเน้นให้ผู้เรียนทราบว่าผู้เรียนต้องให้ความสนใจมาก่อนในเนื้อหาสาระ  เพราะจะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จในการแข่งขัน  วิธีนี้เหมาะสมกับการเรียนรู้ในวิชาพื้นฐานที่สามารถถามตอบที่มีคำตอบที่แน่นนอนตายตัว  แต่ไม่เหมาะกับบางวิชา

6. รูปแบบ GI (Group Investigation)

GI (Group Investigation) พัฒนาโดย Sharan และคณะ คือ ต้องการการร่วมมือกัน มีการกระจายภาระงานและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันของสมาชิกในกลุ่ม

7. โปรแกรม CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition)

            คือ โปรแกรมสำหรับสอนการอ่าน การเขียนและทักษะทางภาษา (Language  arts) โดยเน้นที่หลักสูตรและวิธีการสอน  ในการพยายามนำการเรียนรู้แบบร่วมมือมาใช้  โปรแกรม  CIRC  พัฒนาขึ้นโดย  Madden,  Slavin  และ  Stevens  นับว่าเป็นโปรแกรมที่ใหม่ที่สุดของวิธีการเรียนรู้เป็นทีม  ซึ่งเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่นำการเรียนแบบร่วมมือมาใช้กับการอ่านและการเขียนโครงการ

ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ

1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก

2. สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิด พูดแสดงออก แสดงความคิดเห็น ลงมือกระทำ

3. เสริมให้มีความช่วยเหลือกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเด็กที่เรียนไม่เก่ง ทำให้เด็กเก่งภาคภูมิใจ รู้จักสละเวลา ส่วนเด็กที่ไม่เก่งเกิดความซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนสมาชิกด้วยกัน

4. ทำให้เกิดการระดมความคิด   นำข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกัน เพื่อประเมินคำตอบที่เหมาะสมที่สุด เป็นการส่งเสริมให้วิเคราะห์และตัดสินใจเลือก

5. ส่งเสริมทักษะทางสังคม เช่น การอยู่ร่วมกันด้วยมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เข้าใจกันและกัน อีกทั้งเสริมทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม   

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การบริหารจัดการชั้นเรียนของโรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่น

 การบริหารจัดการชั้นเรียนของโรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่น   

       การจัดการชั้นเรียนคือการจัดการสภาพของห้องเรียน บรรยากาศน่าเรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้
ฮอล (Susan Colville-Hall :2004) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นพฤติกรรมการสอนที่ครูสร้างและคงสภาพเงื่อนไขของการเรียนรู้เพื่อช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธผลขึ้นในชั้นเรียนซึ่งถือเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ การจัดการชั้นเรียนที่มีคุณภาพนั้นต้องเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและคงสภาพเช่นนี้ไปเรื่อยๆโดยสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ KAUCHAK และ EGGEN (1998) ให้คำจำกัด ความว่า การบริหารการจัดชั้นเรียน ประกอบด้วย ความคิด การวางแผน และการปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวงของครูที่สร้างสรรค์ภาพแวดล้อมอย่างเป็นระบบระเบียบ และส่งเสริมการเรียนรู้ โดยเป้าหมายของการบริหารจัดการ (MANAGEMENT GOALS) มี 2 ประการสำคัญ คือ
1.1 รังสรรค์สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่จะส่งเสริมให้การเรียนรู้มีความเป็นไปได้ มากที่สุด และครูจะสามารถสะท้อนการปฏิบัติงานของตนเองด้วยการถามตนเองสม่ำเสมอว่าระบบการบริหารจัดการเอื้ออำนวยให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างไรเพียงใด
1.2 พัฒนานักเรียนให้มีศักยภาพในการจัดการและนำตนเองให้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ดังนั้น การบริหารจัดการชั้นเรียนจึงเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความเข้าใจด้วยตนเอง ประเมินตนเอง และควบคุมดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสมตามวัย
       กล่าวโดยสรุปได้ว่า การจัดบรรยากาศในชั้นเรียนจะช่วยส่งเสริมและสร้างเสริมผู้เรียนใน ด้านสติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ และสังคมได้เป็นอย่างดี ทำให้นักเรียนเรียนด้วยความสุข รักการเรียน และเป็นคนใฝ่เรียนใฝ่รู้

ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการชั้นเรียนและการเรียนการสอน

       การบริหารจัดการชั้นเรียน หมายถึง การจัดสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน เพื่อสนับสนุนให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขการจัดสภาพแวดล้อมจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. ความสะอาด ความปลอดภัย เช่น ก่อนการรับประทานอาหาร โรงเรียนอนุบาลของญี่ปุ่นจะให้นักเรียนล้างมือก่อนการรับประทานอาหาร ในส่วนของห้องครัวจะไม่อนุญาติให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกจากภายนอกเข้าไปปนเปื้อนในอาหาร อีกทั้งแม่ครัวจะสวมอุปกรณ์ป้องกันหน้ากาก ถุงมือที่มิดชิดเพื่อป้องกันเชื้อโรค
2. ความมีอิสระอย่างมีขอบเขตในการเล่น เช่น ในการละเล่นของเด็กในชั้นอนุบาล เด็กๆจะมีเป้าหมายในการเล่นตามแผนที่วางไว้ ซึ่งเป็นการเล่นที่มีขอบเขตและจุดหมาย ไม่ใช่การเล่นเพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียว
3. ความสะดวกในการทำกิจกรรม ในพื้นที่ด้านนอกของโรงเรียนจะโล่งกว้างไม่แออัดช่วยให้เด็กสามารถทำกิจกรรมออกกำลังกาย และเล่นได้อย่างสะดวกปลอดภัย
4. ความพร้อมของอาคารสถานที่ เช่น ห้องเรียน ห้องน้ำห้องส้วม สนามเด็กเล่น ฯลฯ ภายในโรงเรียนของญี่ปุ่นจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สนามเด็กเล่นซึ่งมีไว้ให้เด็กๆได้มีพื้นที่ในการเล่นสนุกได้อย่างเต็มที่
5. ความเพียงพอเหมาะสมในเรื่องขนาด น้ำหนัก จำนวน สิ่งของสื่อและเครื่องเล่น เช่นในชั้นเรียน จะไม่อนุญาติให้นักเรียนนำ คอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ต เข้ามาใช้ในการเรียน แต่ทางโรงเรียนจะมีเตรียมไว้ให้เช่น เปียโน วิทยุเพื่อใช้ในกิจกรรมร้องเพลง และกล่องกระดาษ กาว กรรไกร สี เพื่อเน้นให้เด็กฝึกใช้ความคิดสร้างสรรค์จากสมองของเด็ก และฝึกใช้กล้ามเนื้อมือในการหยิบจับสิ่งของ
6. บรรยากาศในการเรียนรู้ การจัดที่เล่นและมุมประสบการณ์ต่างๆ ภายในห้องเรียนระดับชั้นอนุบาลของญี่ปุ่นจะมีการจัดมุมต่างๆไว้ให้สามารถเล่นและเรียนรู้ตามมุมที่ตนเองสนใจได้

การจัดการชั้นเรียนเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้

       ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนต่างปรารถนาให้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนดำเนินไปอย่างราบรื่น และผู้เรียนเกิดพฤติกรรมตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร บรรยากาศในชั้นเรียนมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้ความปรารถนานี้เป็นจริง พรรณี ชูทัย (2522 : 261 – 263) กล่าวถึงบรรยากาศในชั้นเรียนที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการสอนจัดแบ่งได้ 6 ลักษณะ สรุปได้ดังนี้
1. บรรยากาศที่ท้าทาย (
Challenge) เป็นบรรยากาศที่ครูกระตุ้นให้กำลังใจนักเรียนเพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการทำงาน นักเรียนจะเกิดความเชื่อมั่นในตนเองและพยายามทำงานให้สำเร็จ
2. บรรยากาศที่มีอิสระ (
Freedom) เป็นบรรยากาศที่นักเรียนมีโอกาสได้คิด ได้ตัดสินใจเลือกสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่า รวมถึงโอกาสที่จะทำผิดด้วย โดยปราศจากความกลัวและวิตกกังวล บรรยากาศเช่นนี้จะส่งเสริมการเรียนรู้ ผู้เรียนจะปฏิบัติกิจกรรมด้วยความตั้งใจโดยไม่รู้สึกตึงเครียด
3. บรรยากาศที่มีการยอมรับนับถือ (
Respect) เป็นบรรยากาศที่ครูรู้สึกว่านักเรียนเป็นบุคคลสำคัญ มีคุณค่า และสามารถเรียนได้ อันส่งผลให้นักเรียนเกิดความเชื่อมั่นในตนเองและเกิดความยอมรับนับถือตนเอง เช่น ก่อนกลับบ้านครูจะให้นักเรียนออกมาเล่าความประทับใจหน้าชั้น โดยกล่าวถึงเพื่อนได้ทำความดีให้กับตนเองอย่างไรบ้าง เป็นการฝึกยอมรับและมองการเห็นความดีของผู้อื่น ทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวชมรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
4. บรรยากาศที่มีความอบอุ่น (
Warmth) เป็นบรรยากาศทางด้านจิตใจ ซึ่งมีผลต่อความสำเร็จในการเรียน การที่ครูมีความเข้าใจนักเรียน เป็นมิตร ยอมรับให้ความช่วยเหลือ จะทำให้นักเรียนเกิดความอบอุ่น สบายใจ รักครู รักโรงเรียน และรักการมาเรียน ในการจัดบรรยากาศของโรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นจะเน้นให้เด็กมีความสนุกน่าเรียนรู้ โดยมีต้นไม้ สัตว์เลี้ยง ของเล่นให้เด็กมีความเพลิดเพลินสนุกสนาน ในการรับประทานอาหารทั้งครูและนักเรียนจะนั่งรับประทานร่วมกัน และเด็กจะช่วยกันเช็ดโต๊ะ เสริฟน้ำให้เพื่อน เป็นการสร้างบรรกาศที่อบอุ่นและเป็นมิตรและการยอมรับให้ความช่วยเหลือจากเพื่อนในชั้นเรียน
5. บรรยากาศแห่งการควบคุม (
Control) การควบคุมในที่นี้ หมายถึง การฝึกให้นักเรียนมีระเบียบวินัย มิใช่การควบคุม ไม่ให้มีอิสระ ครูต้องมีเทคนิคในการปกครองชั้นเรียนและฝึกให้นักเรียนรู้จักใช้สิทธิหน้าที่ของตนเองอย่างมีขอบเขต เช่น ก่อนเข้าเรียนเด็กนักเรียนจะต้องรวมกลุ่มช่วยครูเช็คชื่อเพื่อนๆ และมีเวรทำความสะอาด ดูแลสัตว์เลี้ยงของโรงเรียน ช่วยให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตนเอง และช่วยเหลือทำงานกันเป็นทีม
6. บรรยากาศแห่งความสำเร็จ (
Success) เป็นบรรยากาศที่ผู้เรียนเกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จในงานที่ทำ ซึ่งส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีขึ้น ผู้สอนจึงควรพูดถึงสิ่งที่ผู้เรียนประสบความสำเร็จให้มากกว่าการพูดถึงความล้มเหลว เพราะการที่คนเราคำนึงถึงแต่ความล้มเหลวจะมีผลทำให้ความคาดหวังต่ำ ซึ่งไม่ส่งเสริมให้การเรียนรู้ดีขึ้น เช่น ในระหว่างการเข้าแถวหน้าเสาธง นักเรียนที่เป็นตัวแทนแข็งขันกีฬาที่ชนะได้รับรางวัล จะให้ขึ้นมาบนเวที ส่วนเพื่อนๆจะร่วมชื่นชมความสำเร็จด้วยกันเป็นการเสริมแรงด้านบวกช่วยให้คนอื่นๆอยากประสบความสำเร็จตาม

สรุป

       เนื่องจากชั้นเรียนมีความสำคัญ เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง นักเรียนจะใช้เวลาอยู่ในชั้นเรียนประมาณวันละ 5-6 ชั่วโมง อิทธิพลของโรงเรียนและชั้นเรียนจึงมีความสำคัญช่วยปลูกฝังลักษณะของเด็กให้เป็นไปในแบบที่สังคมต้องการได้ เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่น การรู้จักรับผิดชอบ เป็นคนรู้จักคิดวิเคราะห์ มีเหตุมีผลสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้ง การจัดการในชั้นเรียนของโรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นช่วยกระตุ้นให้เด็กมีความกระตือรือร้นมีความต้องการมาเรียนมาก และช่วยให้เด็กมีระเบียบวินัย สามารถช่วยเหลือตนเองในเบื้องต้นได้เช่นการจัดเก็บสิ่งของ รองเท้า นอกจากนี้ยังช่วยให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมห้อง รู้จักทำงานร่วมกัน และการช่วยเหลือแบ่งปันกัน  เช่นเสริฟน้ำ รดน้ำต้นไม้ เมื่อมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเด็กสามารถจัดการแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองอย่างมีเหตุมีผล นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาเด็กที่เกเร ให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่ดี สามารถอยู่ร่วมกับกลุ่มเพื่อนได้ หากนำวิธีนี้มาใช้กับโรงเรียนของไทยจะช่วยให้เด็กไทยมีระเบียบวินัย ไม่ฟุ้งเฟ้อ มีความคิดสร้างสรรค์ แก้พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น พฤติกรรมติดเกมส์ การนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาแพงมาใช้ในโรงเรียนเช่น ไอแพด ซึ่งส่งผลให้เด็กขาดการพัฒนากล้ามเนื้อมือ และส่งผลเสียต่อสุขภาพสายตาและเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองของผู้ปกครอง เด็กขาดความคิดสร้างสรรค์ไม่รู้จักประดิษฐ์สิ่งของด้วยมือของตนเอง ด้วยเหตุนี้การจัดการชั้นเรียนแบบญี่ปุ่นจึงมีความเหมาะสมมาใช้กับโรงเรียนอนุบาลของไทย


บรรณานุกรม

DohiruTV. (05 กรกฎาคม 2556). ดูให้รู้ - การศึกษา เพาะต้นกล้าของสังคม 14Jul13 [Video file].
สืบค้นเมื่อ 07 พฤศจิกายน 2556 จาก .Video posted to www.youtube.com/watch?v=9th6dq6r19g
DohiruTV. (05 กันยายน 2556). ดูให้รู้-การศึกษา..เพาะต้นกล้าของสังคม2 [Video file].
สืบค้นเมื่อ 07 พฤศจิกายน 2556 จาก .Video posted to www.youtube.com/watch?v=N4bNPUrbxcY
ครูเชียงรายดอทเน็ต. (11 สิงหาคม 2555). http://www.kruchiangrai.net. เรียกใช้เมื่อ 08 พฤศจิกายน 2556 สืบค้นจาก http://www.kruchiangrai.net/

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

องค์กรความรู้ตามแนวคิดวินัย 5 ประการ

งค์กรความรู้ตามแนวคิดวินัย 5 ประการ
Learning Organization of Fifth Discipline
อนุชิต ศรีโชติ
Anuchit Srechote
บทคัดย่อ
     วินัยหมายถึง ระเบียบ แบบแผน และข้อบังคับ ข้อปฏิบัติ วินัยในลักษณะพฤติกรรมหมายถึง การควบคุมตนเองให้แสดงพฤติกรรมที่ถูกระเบียบ หลักเกณฑ์ เพื่อเป็นเครื่องนำทางไปสู่สิ่งที่ดีไม่สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคม วินัยที่จำเป็นสำหรับการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้แก่ ความรู้แห่งตน การพัฒนาตนเองช่วยให้บุคคลนั้นๆก่อเกิดการพัฒนาทั้งต่อตนเองและไปยังผู้อื่น แบบแผนความคิดอ่าน คือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจอันดีต่อกันของบุคคลในองค์กร วิสัยทัศน์ร่วมเป็นการกำหนดจุดมุ่งหมายและให้ทุกคนในองค์กรมองเห็นทิศทางที่ต้องการเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตร่วมกัน การเรียนรู้ของทีม เป็นวิธีการรวบรวมความคิด และบูรณาการความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆร่วมกันให้ประสบผลสำเร็จการคิดอย่างเป็นระบบ เป็นวิธีการมองภาพปัญหาแบบองค์รวมช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ของเหตุและผล

คำสำคัญ : องค์กร,วินัย
บทนำ
     จากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.. 2554 ที่ได้สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือน ระบบสาธารณูปโภคถูกทำลาย ผู้คนล้มตาย ไร้ที่อยู่อาศัย ต้องอยู่อย่างยากลำบาก นอกจากนี้ธุรกิจอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เคราะห์ซ้ำยังเกิดเหตุการณ์วิกฤตินิวเคลียร์รั่วไหลที่มีผลกระทบกับความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่น แต่จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นนอกจาก มหันตภัยและความพินาศแล้ว ผู้คนทั่วโลกยังได้เห็นมุมมองอีกด้านคือการแสดงความมีระเบียบ มีวินัยของชาวญี่ปุ่น การเข้าคิวซื้อของจากห้างร้านที่มีสินค้าอยู่เพียงน้อยนิดโดยไม่มีการแย่งชิง แต่กลับอยู่ในความสงบเรียบร้อยเป็นระเบียบ นอกจากนั้นการขโมยแย่งชิงทรัพย์สินในช่วงวิกฤตก็ไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งตรงกันข้ามกับวิกฤตน้ำท่วมของไทยในปี พ..2554 เป็นอย่างมากซึ่งผู้คนต่างแย่งชิงกักตุน อาหารข้าวของ ที่เกินความจำเป็นในการดำรงชีวิตเป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดความมีวินัยของคนในชาติ
     ในงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี พ.. 2556 ภายใต้แนวคิดจากคำขวัญของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มอบให้ในปีนี้ว่า “รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญานำพาไทยสู้อาเซียน”
     พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน 2551มาตรา 80 ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาวินัยโดยกระทำการหรือไม่กระทำการตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้โดยเคร่งครัดอยู่เสมอ
     จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าความมีระเบียบวินัย มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาสังคมของมนุษย์ และมีความสำคัญต่อทุกองค์กร ทุกระดับชั้น และควรนำระเบียบวินัยไปปรับใช้กับองค์กรของตน เพื่อสร้างความเรียบร้อยมีระเบียบวินัยแก่องค์กร เช่น การรักษา การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของบริษัท การลาป่วย ลากิจ หากพนักงานที่ต้องการลาป่วย หรือลากิจ ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบวินัยของบริษัท ถ้าไม่กระทำตามก็ถือว่าฝ่าฝืนและเป็นบุคคลที่ขาดวินัย ซึ่งก็จะได้รับโทษตามที่บริษัทได้กำหนดเอาไว้ นอกจากนี้การปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ ขยันหมั่นเพียร ปฏิบัติตามคำแนะนำหรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชา การให้ความร่วมมือกับเพื่อนร่วมงาน การละเว้นจากการแตกความสามัคคีระหว่างเพื่อนร่วมงาน เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นวินัยที่องค์กรจะต้องมี บทความนี้มุ่งเสนอแนวคิดตามหลักวินัย 5 ประการเพื่อการนำไปปรับใช้ในการพัฒนาองค์กร
ความหมายของวินัยและองค์กรแห่งการเรียนรู้
     วินัยตามความหมายของพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 หมายถึง ระเบียบแบบแผนและข้อบังคับ ข้อปฏิบัติ เช่นวินัยทหารทหารต้องยึดมั่นในวินัยเมื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาปีพ.ศ. 2547 แล้วสามารถอธิบาย คําว่า “วินัย” ได้ใน 2 ลักษณะ คือ
     1. หมายถึง ระเบียบ กฎเกณฑ์ แบบแผน ความประพฤติที่ทางราชการกําหนดให้ ข้าราชการจะต้องยึดถือปฏิบัติ
     2. หมายถึง ลักษณะเชิงพฤติกรรมที่ข้าราชการแสดงออกมาในทางที่ถูกที่ควรเป็นการ ควบคุมตนเองให้แสดงพฤติกรรมที่ถูกระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือแบบแผนที่ทางราชการกําหนดไว้ (ธันว์ วิสิทธิ์พานิช. :
www.law.cmu.ac.th) วินัยและองค์กร ถ้าให้ความหมายโดยมองในแง่ถ้อยคำแล้ว
              “วิ” แปลว่า “ดี” หรือ “ต่าง”
             “นัย” แปลว่า “ทาง” (คำนาม) “นำไป” (คำกริยา)
             “วินัย” แปลว่า “เครื่องนำไปในทางที่ดี” ผู้มีวินัยจะเป็นคนดี
             “วินัย” แปลว่า “เครื่องนำให้มีความแตกต่าง”
        “องค์กร” แปลว่า “บุคคล คณะบุคคลหรือสถาบันซึ่งเป็นส่วนประกอบของหน่วยงานใหญ่ที่ทำหน้าที่สัมพันธ์กันหรือขึ้นต่อกัน”
องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)
     องค์กรเรียนรู้ (Learning Organization) เป็นแนวคิดในการพัฒนาองค์กรโดยเน้นการพัฒนาการเรียนรู้สภาวะของการเป็นผู้นำในองค์กร (Leadership) และการเรียนรู้ร่วมกัน ของคนในองค์กร (Team Learning) เพื่อ ให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และทักษะร่วมกัน และพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขัน
     Peter M. Senge ให้คำนิยามขององค์กรแห่งการเรียนรู้ ซึ่งกล่าวพอสรุปได้ว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ ที่ซึ่งมนุษย์สามารถขยายศักยภาพ (Capacity) อย่างต่อเนื่องในการสร้างผลลัพธ์ตามที่ต้องการ เป็นที่ซึ่งรูปแบบความคิดความทะเยอทะยานร่วมของทุกคน (Collective Aspiration) ได้รับการยอมรับและเป็นที่ซึ่งมนุษย์เรียนรู้ที่จะเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง องค์กรแห่งการเรียนรู้มีบรรยากาศแห่งความไว้ใจ (Trust) มีสัมพันธภาพภายใน (Relationship) ที่ดี มีการยอมรับซึ่งกันและกัน (Acceptance) ของสมาชิกมีความสอดคล้องและกลมกลืน (Synergy) ตลอดจนสามารถสร้างผลลัพธ์ที่นำมาซึ่งความสำเร็จได้ โดยที่ปัจจัยและความสำเร็จเหล่านี้เกิดจากการพัฒนาความรู้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของทีมอย่างต่อเนื่อง (สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ. 2548 : 28)
ความสำคัญของวินัย 5 ประการ
     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นักศึกษามหาวิทยาลัย รามคำแหง เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2520 ว่า 
     “...อิสรภาพ  กับวินัย  ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนกับเป็นสิ่งตรงข้ามกันนั้น  แท้จริงเป็นของคู่กัน ทั้ง จำเป็นจะต้องใช้ควบคู่กันเพื่อให้ควบคุมกันอยู่เสมอ มิฉะนั้นจะหวังผลที่ดีอันพึงประสงค์ไม่ได้    อย่างท่านทั้งหลายซึ่งมีความรู้  ความคิด สติปัญญา สามารถที่จะสร้างประโยชน์ต่าง ๆ ให้พร้อมมูล อยู่นี้  ถ้าขาดวินัย ก็อาจปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นไปตามความสะดวกสบาย  ทำให้สูญเสียประโยชน์ที่พึง จะได้ไปเปล่าๆเท่ากับได้เบียดเบียนทำลายตนเอง และทำลายผู้อื่นให้เสียหายด้วยอย่างน่าตำหนิที่สุด  เพราะฉะนั้นจำเป็นที่ทุกคนจะต้องใช้วินัยบังคับบัญชา คือ บังคับให้ทำความดีความเจริญให้แก่ตน  เผื่อแผ่ความดีความเจริญนั้นแก่ผู้อื่นพร้อมกันไปด้วย...”
     พระธรรมปิฎก (2538: 8-12) ได้นำเสนอไว้ว่า การพัฒนามนุษย์ในระยะยาวจึงต้องมีวินัยเป็นฐานเพื่อให้มนุษย์สามารถนำศักยภาพของตนออกมาร่วมสร้างสรรค์สังคมอย่างได้ผลถ้าชีวิตและสังคมขาดวินัยย่อมทำให้เกิดความวุ่นวายต่างๆในที่สุดก็จะสูญเสียโอกาสในการที่จะดำเนินชีวิตและทำกิจการของสังคมให้เป็นไปด้วยดี วินัยเกิดขึ้นได้ต้องมีการอบรมและฝึกฝนเพราะวินัยเป็นนามธรรมที่เป็นความจริงได้จากการที่มนุษย์ยอมรับไม่ใช่ความจริงตามธรรมชาติ
กฎ 5 ข้อ สู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
     องค์กรไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง องค์กรแห่งการเรียนรู้เกิดจากการเรียนรู้ของบุคคลในองค์กรกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ บุคคลเป็นผู้สร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม บุคคลที่จะสามารถสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้ต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากบุคคลทั่วไป Peter M. Senge เรียกวิธีการสร้างทักษะและความสามารถของบุคคลดังกล่าวว่า กฏหรือวินัย (Discipline) โดยได้นำเสนอทักษะและความสามารถที่จำเป็นของบุคคลสำหรับการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ไว้ดังต่อไปนี้
วินัยประการที่ 1 : ความรอบรู้แห่งตน (Personal Mastery)
     การเรียนรู้ขององค์กรจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลมีการเรียนรู้เท่านั้น   การฝึกฝนอบรมตนด้วยการเรียนรู้อยู่เสมอเป็นรากฐานสำคัญ  เป็นการขยายขีดความสามารถให้เชี่ยวชาญมากขึ้น  ความรอบรู้เป็นผลร่วมของทักษะและความสามารถ เป็นสภาพที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงเห็นว่าอะไรมีความสำคัญต่อเรา  ต่อองค์กรขณะเดียวกันก็เห็นภาพในอนาคต (Vision) ที่พึงเป็นได้
     Personal Mastery นอกจากจะกระตุ้นให้บุคคลเกิดความต้องการพัฒนาขีดความสามารถของตนแล้ว ยังทำให้เขาเกิดความต้องการเพิ่มขีดความสามารถของบุคคลอื่นที่อยู่รอบข้างด้วย ซึ่งเขาจะทำโดยการสร้างบรรยากาศที่ให้ความสำคัญและส่งเสริมบุคคลที่มีความต้องการเพิ่ม Personal Mastery ของตน การส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ที่มีความกระตือรือร้นและต้องการเรียนรู้ จะทำให้เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อนำความรู้ที่ได้รับจากการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้ ดังนั้น Personal Mastery จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญสำหรับองค์กรแห่งการเรียนรู้
วินัยประการที่ 2 : แบบแผนความคิดอ่าน
     แผนความคิดอ่าน ได้แก่  ข้อตกลงเบื้องต้น  ความเชื่อพื้นฐาน  ข้อสรุปหรือภาพลักษณ์ที่ตกผลึกในความคิดอ่านของคนที่มีอิทธิพลต่อความรู้ความเข้าใจต่อสรรพสิ่งในโลก  มีผลต่อการประพฤติปฏิบัติ ต่อค่านิยม เจตคติที่เขามีต่อบุคคล  สรรพสิ่งและสถานการณ์ทั้งหลาย  หน้าที่ของวินัยประการที่ 2  ก็เพื่อฝึกฝนให้เราได้เข้าใจ  แยกแยะระหว่างสิ่งที่เราเชื่อกับสิ่งที่เราปฏิบัติ การสืบค้นความคิดความเชื่อของเรา  ทำให้เราท้าทายและปรับขยายขอบเขตและกระบวนการความคิดความเชื่อของเรา  เข้าใจมุมมองและการคิดของผู้อื่น  
     Peter M. Senge เชื่อว่าความคิดความเชื่อแบบแผนความคิดอ่านของแต่ละคนมีข้อบกพร่อง ดังนั้นต้องอาศัยวินัยที่ 5 คือการคิดอย่างเป็นระบบ เข้าไปร่วมทำงานด้วยซึ่งจะมีพลังเกิดผลดีสูงสุด ผู้บริหารพึงผสานแบบแผนความคิดอ่านของตนเข้ากับการฝึกทักษะการคิดอย่างเป็นกลยุทธ์อย่างเป็นระบบที่เน้นภาพใหญ่ เน้นความเชื่อมโยงขององค์ประกอบย่อยให้ได้
     บุคคลบางคนมี Mental Model เกี่ยวกับงานของตนที่ไม่ถูกต้อง เช่น เข้าใจว่างานที่ตนทำมีความกดดันมากกว่าผู้อื่น ตนเองต้องเครียดและทำงานหนักกว่าผู้อื่น บุคคลที่มี Mental Models เช่นนี้ จะเกิดความท้อแท้และขาดความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆ มักจะขาดงาน มาสายลาป่วยอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าหากเขาสามารถเปลี่ยน Mental Models ให้ถูกต้องและเข้าใจว่าเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่แตกกต่างจากตน แต่เพื่อนร่วมงานกลับสามารถทำงานได้อย่างเป็นสุข เขาก็จะสามารถปรับปรุงตนเองได้
     องค์กรพึงเปิดเวทีที่สะท้อนถึงชุมชนของการปฏิบัติ (community of practice) ให้เกิดขึ้นในองค์กร  เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเรียนรู้ร่วมกัน  อาทิ  เครือข่ายการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ  การแลกเปลี่ยนความเห็น  การพบปะกันตามทางเดิน  การเล่าเรื่อง  การเล่าประสบการณ์  เทคนิคการจัดประชุม  แนวทางใหม่ ๆ ของการปฏิบัติงาน  การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกัน ดังนั้นองค์กรเรียนรู้ได้ ผ่านการปรับปรุงแบบแผนความคิดร่วมกัน 
     Peter M. Senge ได้อธิบายเรื่องของ Mental Models ไว้ว่า Mental Models ที่แตกต่างกันจะทำให้บุคคลสองคนมองและอธิบายเหตุการณ์เดียวกันแตกต่างกัน เนื่องจากบุคคลทั้งสองให้ความสนใจกับรายละเอียดที่แตกต่างกันของเหตุการณ์ นอกจาก Mental Models จะเป็นสิ่งที่กำหนดวิธีมองโลกของบุคคลแล้ว ยังกำหนดพฤติกรรมหรือการกระทำของบุคคลด้วยเช่น เมื่อ Mental Models ของเราเชื่อว่ามนุษย์น่าไว้วางใจ เราก็จะปฏิบัติต่อบุคคลต่างๆ แตกต่างจาก Mental Model ที่เชื่อว่ามนุษย์ไม่น่าไว้วางใจ

วินัยประการที่ 3 : วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)
     วิสัยทัศน์หรือภาพในอนาคตที่ปรารถนาให้เกิดมีขึ้นในองค์กรนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อภาวะผู้นำทุกคน  เป็นพลังขับเคลื่อนในภารกิจทุกอย่างขององค์กรให้มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน  เป็นจุดร่วมและพลังของการเรียนรู้ของสมาชิกในองค์กร  ผู้นำต้องพัฒนาวิสัยทัศน์เฉพาะตน  (personal  vision)  ขึ้นมาก่อนจากคุณค่าส่วนบุคคล  ความห่วงใย  ให้ความสำคัญกับสิ่งใด  จากการคิดได้ คิดเป็น  จากนั้นก็ขายฝัน  คิดดังๆ แบ่งปันให้ผู้อื่นได้รู้  เข้าใจ  เห็นคล้อยตามด้วยการสื่อสาร  โน้มน้าวหรือดังที่เรียกกันว่า “walk the talk”  ทำให้คำพูดหรือภาพนั้นเดินได้  กลายเป็นวิสัยทัศน์ร่วม (shared  vision)  ที่มีการแบ่งปันกับผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับขององค์กรโน้มน้าวให้เกิดการปฏิบัติร่วมกันไปในทิศทางที่ทำให้ภาพวิสัยทัศน์นั้นเป็นจริงขึ้นมา (turn vision into action) ในลักษณะของปฏิบัติการในเชิงรุก (proaction)  มิใช่รอหรือตามแก้ไข (reaction)
     ยกตัวอย่างการประกาศเอกราชของประเทศอินเดีย เป็นการ Shared Vision มหาตมะ คานธี ซึ่งเป็นผู้นำการต่อสู้ได้ทำให้ภาพ ความเป็นประเทศเอกราช เป็น Shred Vision  ของประชาชนอินเดียทั้งประเทศทำให้ชาวอินเดียเกิดความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับกองทัพของเจ้าอาณานิคมอังกฤษจนสามารถประกาศเอกราชของอินเดียได้ ทั้งๆที่การกู้เอกราชเป็นภารกิจที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการต่อสู้ระหว่างมหาตมะ คานธี และชาวอินเดียกับกองทัพอังกฤษเป็นการต่อสู้หลักอหิงสากับแสนยานุภาพอันยิ่งใหญ่ หากปราศจากวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและเป็นอนาคตที่คนอินเดียทั้งประเทศปรารถนาร่วมกันแล้ว ภารกิจดังกล่าวคงไม่อาจสำเร็จได้
     Peter M. Senge เห็นว่าการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมนี้เป็นการสร้างความคิดที่ใช้ปกครอง (governing ideas)  ชี้นำองค์กรว่าองค์กรคิดอย่างไร  มีเป้าหมาย พันธกิจ  และยึดถือคุณค่าใด  วิสัยทัศน์ที่ดีต้องสอดคล้องกับคุณค่าหรือค่านิยมที่ผู้คนยึดถือ  ในการดำรงชีวิตประจำวัน  มิเช่นนั้นแล้ววิสัยทัศน์นั้นจะเป็นแค่กระดาษหรือข้อความที่ไร้พลังขับเคลื่อน  ความคิดที่ใช้ปกครองนี้มุ่งตอบคำถามหลัก 3 ประการที่สะท้อนให้เห็นว่าเราเชื่อมั่นในสิ่งใด กล่าวคือ 
              อะไร        - ภาพในอนาคตที่ต้องการให้เกิดคืออะไร          
              ทำไม       - ทำไปทำไม  ด้วยเป้าหมายหรือพันธกิจใด  มีส่วนช่วยเหลือสังคมเช่นไร            
              อย่างไร    - เราจะปฏิบัติตนเช่นไรให้วิสัยทัศน์และพันธกิจนั้นเป็นจริง
          ด้วยความซื่อสัตย์  จริงใจ  เสียสละ  อดทน  เป็นต้น

วินัยประการที่ 4 : การเรียนรู้ของทีม (Team Learning)
เราจะทำอย่างไรให้ระดับความสามารถของทีมเหนือกว่าระดับความสามารถของรายบุคคลในทีม  ทีมสามารถพัฒนาขีดความสามารถประสานสัมพันธ์กันได้เป็นอย่างดี แนววิธีฝึกฝนสร้างการเรียนรู้ของทีมที่ดีและคุ้มค่านั้น Peter M. Senge เห็นว่า ทำได้โดยผ่านการพูดคุย (dialogue) และการอภิปราย (discussion) ของผู้คนในองค์กร ทีมในองค์กรที่ขาดการปรับทิศทางทำความเข้าใจระหว่างกันก่อนจะมีพลังงานที่สูญเสียมากมาย ขาดทิศทางร่วมกัน ขาดการประสานสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้นPeter M. Senge   จึงให้ความสำคัญของการปรับแนวปฏิบัติให้ตรงกัน (alignment) ว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญก่อนที่จะมีการเพิ่มอำนาจในการปฏิบัติ (empowerment) ให้แก่บุคคล หรือทีม ในการตัดสินใจหรือการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
     ตัวอย่างการทำงานของทีมงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งทีมงานดังกล่าวประกอบด้วยบุคลากรต่างๆ ที่มีความรู้ทักษะ และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น ทีมงานวิจัยและพัฒนาเครื่องสำอางจะประกอบด้วย แพทย์ผิวหนัง แพทย์อายุรกรรม เภสัชกร ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม นักวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการ นักวิทยาศาสตร์ด้านสมุนไพร นักวิทยาศาสตร์ด้านเคมี ฯลฯ บุคคลเหล่านี้แต่ละคนจะมีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉพาะด้านที่แตกต่างกัน ในการทำงานของทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณ์ใหม่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่ทีมงานเผชิญจะถูกแก้ไขด้วยวิธีการต่างๆ ที่ได้จากการบูรณาการความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของบุคลากรทุกคนในทีมงานเมื่อการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งล้มเหลว ทีมงานก็จะได้เรียนรู้ร่วมกันและพยายามแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการอื่นต่อไป หากทีมงานเห็นว่ายังขาดข้อมูลหรือความรู้บางอย่างที่จำเป็นต่อการทำงานบุคลากรในทีมงานที่มีศักยภาพในด้านดังกล่าวก็จะค้นคว้าหาความรู้และข้อมูลที่ต้องการเพิ่มเติม แล้วนำกลับมาแปรเป็นศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของทีม การทำงานของทีมงานที่เต็มไปด้วยการสอดประสานที่ดีจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะประสบความสำเร็จในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ต้องการ Peter M. Senge เห็นว่า การเรียนรู้เป็นทีมมี 3 ลักษณะสำคัญได้แก่
1. สมาชิกทีมต้องมีความสามารถในการคิด ตีปัญหา หรือประเด็นพิจารณาให้แตก หลายหัวร่วมกันคิด ย่อมดีกว่าการให้บุคคลคนเดียวคิด
2. ภายในทีมต้องมีการทำงานที่สอดประสานกันเป็นอย่างดี คิดในสิ่งที่ใหม่และแตกต่าง มีความไว้วางใจต่อกัน
3. บทบาทของสมาชิกทีมหนึ่งที่มีต่อทีมอื่นๆ   ขณะที่ทีมหนึ่งสมาชิกเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การประพฤติปฏิบัติของทีมนั้นยังส่งผลต่อทีมอื่นๆ ด้วย ซึ่งจะช่วยการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ให้มีพลังมากขึ้น

วินัยประการที่  5 : การคิดอย่างเป็นระบบ (System  Thinking)
เป็นวินัยที่มีความสำคัญมากที่สุด  ที่ในความเป็นจริง  ผู้คน  บุคลากร ผู้บริหารหลายคนไม่สามารถฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถคิดได้อย่างเป็นระบบอย่างเท่าทันการณ์  หรือคิดได้ล่วงหน้า ผลก็คือทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติงานในการบริหารมากมาย บ้างคิดว่าที่ตนปฏิบัติงานทุกวันเป็นการแก้ไขปัญหาและพัฒนางาน เนื่องจากการคิดสั้น  ผันตามเหตุการณ์หรือสถานการณ์  ทำให้ขาดการเห็นภาพใหญ่  ไม่ต่อเนื่อง  ไม่เห็นความเชื่อมโยงของส่วนต่าง ๆ ที่จะได้รับผลกระทบติดตามมาจากการปฏิบัติงานของเขา  ทั้งที่แท้จริงแล้วการปฏิบัติงานของเขาเป็นการสั่งสมปัญหาให้คนต่อ ๆ มาต้องแก้ไข  ซึ่งจำต้องใช้ความสามารถที่มากกว่าเดิมหลายเท่าตัวที่เดียว   คำว่าระบบ”  คือส่วนย่อยที่เกี่ยวเนื่องกันในส่วนใหญ่  สะท้อนให้เห็นการขึ้นแก่กันของส่วนย่อย ๆ ผลบวกของแต่ละส่วนจะมีพลังน้อยกว่าร่วมแรงร่วมใจหรือการผนึกกำลังของส่วนย่อยอย่างพร้อมเพรียงกัน  การทำงานของงานหนึ่ง  ย่อมจะมีผลกระทบต่อส่วนย่อยต่าง ๆ ที่เหลือในระบบ  ส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรือง  ความล่มสลาย  กำไร-ขาดทุน  และภาพลักษณ์ขององค์กร  ในมิติของสถานการณ์และเวลาต่างๆลักษณะของการคิดอย่างเป็นระบบที่ดี  ได้แก่
     1. คิดเป็นกลยุทธ์ ชัดเจนในเป้าหมาย มีแนวทางที่หลากหลาย แน่วแน่ในเป้าหมาย มีวิสัยทัศน์
     2. คิดทันการ ไม่ช้าเกินการณ์ มองให้เห็นความจริง บางทีชิงปฏิบัติก่อนปัญหาจะเกิด
     3. เล็งเห็นโอกาส ในทุกปัญหามีโอกาส ไม่ย่อท้อ สร้างประโยชน์ มองให้ได้ประโยชน์
ตัวอย่าง เช่นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ถูกทำลาย มนุษย์ติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อลดอุณหภูมิของอากาศ แต่ความร้อนที่เกิดจากการทำงานของเครื่องปรับอากาศก็ทำให้อุณภูมิของโลกสูงขึ้น นอกจากนี้ สารเคมีจากเครื่องปรับอากาศก็ยังสามารถทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ซึ่งส่งผลให้ความสามารถของชั้นบรรยากาศในการป้องกันรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ลดลง รังสีความร้อนเหล่านี้ก็ทำให้โลกร้อนขึ้น การผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในการเดินเครื่องปรับอากาศก็เพิ่มความร้อนให้กับโลก กระบวนการผลิตน้ำมันและเชื้อเพลิงอื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ก็ทำให้เกิดความร้อนเพิ่มมากขึ้น พลังงานบางอย่างที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า เช่น พลังงานน้ำจากเขื่อน ก็ได้มาจากการทำลายป่าไม้จำนวนมหาศาล ผลพวงจากการทำงานของเครื่องปรับอากาศที่มนุษย์ติดตั้งเพิ่มขึ้นตลอดจนผลพวงของการผลิตกระแสไฟฟ้า การผลิตเชื้อเพลิงและพลังงานสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าที่นำมาเดินเครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้โลกร้อนยิ่งขึ้นไปอีก วงจรเช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถเชื่อมโยงเหตุและผลของสิ่งต่างๆเหล่านี้เข้าด้วยกัน หากมนุษย์ใช้ System Thinking ในการแก้ปัญหาโลกร้อน มนุษย์คงเลือกที่จะหันกลับไปอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติแทนวิธีการที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน
     กล่าวโดยสรุปคือ System Thinking เป็นวิธีการที่ทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น  โดยทำให้มองเห็นเหตุ (Causes) และผล (Effects) ของปัญหาต่างๆชัดเจนขึ้น เป็นผลให้สามารถกำหนดกลยุทธ์และแก้ปัญหาได้ดีขึ้น Systems Thinking ยังช่วยให้สามารถคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นของกลยุทธ์และการแก้ไขปัญหาโดยไม่ได้คาดหวังมาก่อน (Unintended Consequence) ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงกลยุทธ์ที่อาจจะแก้ปัญหาหนึ่งแต่ก่อให้เกิดปัญหาใหม่โดยไม่ตั้งใจ

5 วินัยช่วยสร้างองค์กรความรู้
     1. การกระตุ้นส่งเสริมการเรียนรู้ตามความสนใจของบุคคลอย่างต่อเนื่อง เช่นการฝึกอบรมทักษะความสามารถต่างๆช่วยให้พนักงานในองค์กรมีความรู้ความเชี่ยวชาญมากขึ้นและบุคคลดังกล่าวยังมีส่วนช่วยให้เพื่อนร่วมงานที่อยู่รอบข้างได้พัฒนาตามไปด้วย
     2. การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีมและการเปิดโอกาสให้พนักงานในองค์กรได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ช่วยให้เข้าใจปัญหาการทำงานของเพื่อนร่วมงานและสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกันในองค์กร
     3. การสร้างวิสัยทัศน์ เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนในองค์กรได้แสดงความต้องการและความคิดเห็นของตนเอง ช่วยให้อีกฝ่ายทราบความต้องการและแสดงทัศนคติที่มีต่อกันของอีกฝ่าย
     4. การทำงานร่วมกันเป็นทีมช่วยให้บุคลากรมีการระดมความคิด ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และช่วยกันตัดสินใจงานลดข้อผิดพลาด และงานมีความประสบความสำเร็จเร็วขึ้น
     5. การมองลักษณะองค์รวมช่วยให้เข้าใจปัญหาได้อย่างรอบด้าน ช่วยให้รู้จักการวิเคราะห์เหตุและผล และช่วยในการคาดเดาเหตุการณ์หรือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้

สรุป
     วินัย 5 ประการคือ แนวทางในการปฏิบัติเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ทั้งองค์การ ซึ่งประกอบด้วย
บุคลากรที่มีความรอบรู้ (Personal mastery) คือบุคคลที่ปรารถนาที่จะเพิ่มพูนศักยภาพของตนให้ทำสิ่งที่ดีขึ้น หากได้รับการส่งเสริม ฝึกฝนและพัฒนาจากองค์กรอยู่เสมอ จะเป็นการเพิ่มศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถมากขึ้นมีความ เก่งคิด เก่งทำ และมีความชำนาญงานที่ตนเองทำ สิ่งเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นขององค์กรแห่งการเรียนรู้ แบบจำลองความคิด (Mental models) เป็นการฝึกฝนให้พนักงานรู้จักการปรับวิธีคิด ไม่ยึดมั่นถือมั่นในรูปแบบและวิธีการทำงานเดิมๆ เช่นเคยทำงานแบบไหนก็ทำแบบนั้นไม่มีการพัฒนาในรูปแบบใหม่ๆ และช่วยให้พนักงานเปิดใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น มีความคิดบวก มีความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ร่วม (Shared vision) คือทุกคนมองเห็นภาพอนาคตร่วมกัน ช่วยให้บุคคลกับองค์กรทำงานอย่างมีเป้าหมาย และมีส่วนสำคัญต่อการมุ่งไปสู่จุดหมาย ความมีวิสัยทัศน์ช่วยกระตุ้นให้ทุกคนมีความรู้สึกน่าสนใจ มีความผูกพัน มุ่งมั่นปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจและท้าทายเกิดความหมายในชีวิตการทำงาน มีความภาคภูมิใจและทุ่มเทเพื่อคุณภาพของผลงาน การเรียนรู้เป็นทีม Team Learning เป็นการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์กันระหว่างผู้ร่วมงาน ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งเน้นการทํางานเพื่อก่อให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจ มีความสามัคคีในการร่วมมือกันแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในองค์กรแห่งการเรียนรู้ไม่ควรให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเก่งอยู่ผู้เดียวในองค์กร ควรก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด ก่อให้เกิดเป็นความรู้ ความคิดร่วมกัน ภายในองค์กร การคิดเชิงระบบ (System Thinking) หรือคิดแบบบูรณาการ  คือความสามารถที่จะเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ โดยมองเห็นภาพความสัมพันธ์กันเป็นระบบได้อย่างเข้าใจและมีเหตุมีผล เป็นลักษณะการมองภาพรวมหรือระบบใหญ่ (Total System) ก่อนว่าจะมีเป้าหมายในการทํางานอย่างไร แล้วจึงสามารถมองเห็นระบบย่อย (Subsystem) ทําให้สามารถนําไปวางแผนและดําเนินการทําส่วนย่อยๆ นั้นให้เสร็จทีละส่วนนั้นได้ เมื่อครบทั้ง 5 ประการแล้วก็จะเกิดผลให้ทำงานสนุก ทุกคนเก่ง งานไม่มีปัญหา ทำงานง่ายขึ้น













เอกสารอ้างอิง
จันทร์สุดา ภูล้นแก้ว. (19 มกราคม 2555). วินัย 5 ประการของ peter senge. [เว็บบล็อก].
สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2556 สืบค้นจาก http://pat52junsuda.blogspot.com
ปาริฉัตต์ ศังขะนันทน์. (7 ตุลาคม 2553). องค์กรอัจฉริยะ : องค์กรแห่งการเรียนรู้. [เว็บบล็อก].
สืบค้นจาก http://km.rubber.co.th
ราชบัณฑิตยสถาน. (ม.ป.ป.). ราชบัณฑิตยสถาน. สืบค้นเมื่อ 18 ตุลาคม 2556
สืบค้นจาก http://rirs3.royin.go.th
วรวรรณ วาณิชย์เจริญชัย. (ม.ป.ป.). วินัย 5 ประการ. สืบค้นจาก http://www.ns.mahidol.ac.th:
สมศักดิ์ ดลประสิทธ์. (ม.ป.ป.). ความรู้เกี่ยวกับวิสัยทัศน์. สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2556
สืบค้นจาก http://www.moe.go.th/wijai/vision2.htm

สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ. (2548). แนวทางการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ด้วย Competency based Learning (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพ ฯ: ศิริวัฒนา อินเตอร์พริ้นท์.