วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ทฤษฏี การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)

ทฤษฏี การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
ความหมาย     

          การจัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการทำงานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมกันรับผิดชอบงานในกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้เกิดเป็นความสำเร็จของกลุ่ม
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้และฝึกทักษะในการทำงานเป็นกลุ่ม
2. เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดค้นคว้า  ทักษะการแสวงหา ทักษะการคิดสร้างสรรค์  การแก้ปัญหา 
การตัดสินใจ  การตั้งคำถาม  ตอบคำถาม  การพูด ฯลฯ
3. เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทางสังคม  การอยู่ร่วมกับผู้อื่น  การมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น  การเสียสละ  การเป็นผู้นำ  ผู้ตาม  ฯลฯ

ลักษณะของการเรียนรู้แบบร่วมมือ

1. สมาชิกในกลุ่มมีจำนวนไม่ควรเกิน 6 คน

2. สมาชิกในกลุ่มต่างมีบทบาทรับผิดชอบ เช่น

                    2.1 เป็นผู้นำกลุ่ม (Leader)                  

                    2.2 เป็นผู้อธิบาย (Explainer)

                    2.3 เป็นผู้จดบันทึก (Recorder)  

                    2.4 เป็นผู้ตรวจสอบ (Checker)

                    2.4 เป็นผู้สังเกตการณ์ (Observer) 

                    2.5 เป็นผู้ให้กำลังใจ (Encourager)

 

องค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ

1. ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence)

          หมายถึง การที่สมาชิกในกลุ่มทำงานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน  มีการทำงานร่วมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมีบทบาท  หน้าที่และประสบความสำเร็จร่วมกัน

2. การมีปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Face To Face Promotive Interaction)                                       

เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความรู้ให้แก่เพื่อนในกลุ่มฟัง เป็นลักษณะสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงของการเรียนแบบร่วมมือ

3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability)                                         

          ความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละบุคคล  โดยมีการช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน  เพื่อให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมายกลุ่ม

4. การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Group Skills) ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทำงานกลุ่มย่อย เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานกลุ่มประสบผลสำเร็จ ผู้เรียนควรได้รับการฝึกทักษะในการสื่อสาร การเป็นผู้นำ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม

กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือจะต้องมีการวิเคราะห์กระบวนการทำงานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มครอบคลุมการวิเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการทำงานของกลุ่มพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่มและผลงานของกลุ่ม การวิเคราะห์การเรียนรู้นี้อาจทำโดยครูหรือผู้เรียน หรือทั้งสองฝ่าย การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มนี้เป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้กลุ่มตั้งใจทำงานเพราะรู้ว่าจะได้รับข้อมูลป้อนกลับ และช่วยฝึกทักษะการรู้คิด (metacognition)คือสามารถที่จะประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนที่ได้ทำไป

 

ลักษณะการจัดกิจกรรม

                    ผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันเข้ากลุ่มร่วมกันเรียกว่า  กลุ่มบ้าน  (Home  Group)  สมาชิกในกลุ่มบ้านจะรับผิดชอบศึกษาหัวข้อที่แตกต่างกัน  แล้วแยกย้ายไปเข้ากลุ่มใหม่ในหัวข้อเดียวกัน  กลุ่มใหม่นี้เรียกว่า  กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ  (Expert  Group)  เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทำงานร่วมกันเสร็จ  ก็จะย้ายกลับไปกลุ่มเดิมคือ  กลุ่มบ้านของตน  นำความรู้ที่ได้จากการอภิปรายจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมาสรุปให้กลุ่มบ้านฟัง  ผู้สอนทดสอบและให้คะแนน

รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ

รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือที่นิยมใช้ในปัจจุบัน  มี   7  รูปแบบ  ดังนี้

1. รูปแบบ Jigsaw 

เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อภาพ คือ ผู้เรียนจะทำงานเป็นกลุ่มที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อย  และเตรียมพร้อมที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง  ผู้เสนอวิธีการนี้คนแรก คือ  อารอนสันและคณะ (Aronson and Others )

2. รูปแบบ STAD (Student Teams – Achievement Division) 

          สลาวิน  (Slavin : 1980)  ได้เสนอรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีมเป็นวิธีการหนึ่งในการวางเงื่อนไขให้นักเรียนพึ่งพากันแม้แต่คนที่เรียนอ่อนก็สามารถมีส่วนช่วยทีมได้  ด้วยการพยายามทำคะแนนให้ดีกว่าครั้งก่อน ๆ  นักเรียนทั้งเก่ง  ปานกลาง  และอ่อน ต่างได้รับการส่งเสริมให้ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด

3. รูปแบบ  LT  (Learning  Together)

รูปแบบ  LT  (Learning  Together)  นี้  จอห์นสัน  และจอห์นสัน  (Johnson  and  Johnson)  เป็นผู้เสนอ เรียกรูปแบบนี้ว่า  วงกลมการเรียนรู้  (Circles  of  Learning)  รูปแบบนี้มีการกำหนดสถานการณ์และเงื่อนไขให้ผู้เรียนทำผลงานเป็นกลุ่ม  ให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันเอกสาร  การแบ่งงานที่เหมาะสม  และการให้รางวัลกลุ่ม

4. รูปแบบ TAI (Team Assisted Individualization)

TAI (Team Assisted Individualization) คือ วิธีการสอนที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization Instruction) เข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของตนและส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

5. รูปแบบ TGT (Teams-Games-Tournaments)

TGT เป็นกระบวนการเรียนที่เป็นการนำเสนอเนื้อหาหรือบทเรียนใหม่  รูปแบบการนำเสนออาจจะเป็นการบรรยาย  อภิปราย  กรณีศึกษาหรืออาจจะมีสื่อการเรียนรู้อื่นๆ  ประกอบด้วยก็ได้  เทคนิค TGT  จะแตกต่างจากเทคนิคอื่นๆ  ตรงที่ผู้สอนต้องเน้นให้ผู้เรียนทราบว่าผู้เรียนต้องให้ความสนใจมาก่อนในเนื้อหาสาระ  เพราะจะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จในการแข่งขัน  วิธีนี้เหมาะสมกับการเรียนรู้ในวิชาพื้นฐานที่สามารถถามตอบที่มีคำตอบที่แน่นนอนตายตัว  แต่ไม่เหมาะกับบางวิชา

6. รูปแบบ GI (Group Investigation)

GI (Group Investigation) พัฒนาโดย Sharan และคณะ คือ ต้องการการร่วมมือกัน มีการกระจายภาระงานและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันของสมาชิกในกลุ่ม

7. โปรแกรม CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition)

            คือ โปรแกรมสำหรับสอนการอ่าน การเขียนและทักษะทางภาษา (Language  arts) โดยเน้นที่หลักสูตรและวิธีการสอน  ในการพยายามนำการเรียนรู้แบบร่วมมือมาใช้  โปรแกรม  CIRC  พัฒนาขึ้นโดย  Madden,  Slavin  และ  Stevens  นับว่าเป็นโปรแกรมที่ใหม่ที่สุดของวิธีการเรียนรู้เป็นทีม  ซึ่งเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่นำการเรียนแบบร่วมมือมาใช้กับการอ่านและการเขียนโครงการ

ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ

1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก

2. สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิด พูดแสดงออก แสดงความคิดเห็น ลงมือกระทำ

3. เสริมให้มีความช่วยเหลือกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเด็กที่เรียนไม่เก่ง ทำให้เด็กเก่งภาคภูมิใจ รู้จักสละเวลา ส่วนเด็กที่ไม่เก่งเกิดความซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนสมาชิกด้วยกัน

4. ทำให้เกิดการระดมความคิด   นำข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกัน เพื่อประเมินคำตอบที่เหมาะสมที่สุด เป็นการส่งเสริมให้วิเคราะห์และตัดสินใจเลือก

5. ส่งเสริมทักษะทางสังคม เช่น การอยู่ร่วมกันด้วยมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เข้าใจกันและกัน อีกทั้งเสริมทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น