องค์กรความรู้ตามแนวคิดวินัย
5 ประการ
Learning
Organization of Fifth Discipline
อนุชิต ศรีโชติ
Anuchit
Srechote
บทคัดย่อ
วินัยหมายถึง
ระเบียบ แบบแผน และข้อบังคับ ข้อปฏิบัติ วินัยในลักษณะพฤติกรรมหมายถึง
การควบคุมตนเองให้แสดงพฤติกรรมที่ถูกระเบียบ หลักเกณฑ์ เพื่อเป็นเครื่องนำทางไปสู่สิ่งที่ดีไม่สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคม
วินัยที่จำเป็นสำหรับการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้แก่ ความรู้แห่งตน
การพัฒนาตนเองช่วยให้บุคคลนั้นๆก่อเกิดการพัฒนาทั้งต่อตนเองและไปยังผู้อื่น
แบบแผนความคิดอ่าน คือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจอันดีต่อกันของบุคคลในองค์กร
วิสัยทัศน์ร่วมเป็นการกำหนดจุดมุ่งหมายและให้ทุกคนในองค์กรมองเห็นทิศทางที่ต้องการเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตร่วมกัน
การเรียนรู้ของทีม เป็นวิธีการรวบรวมความคิด และบูรณาการความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆร่วมกันให้ประสบผลสำเร็จการคิดอย่างเป็นระบบ
เป็นวิธีการมองภาพปัญหาแบบองค์รวมช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ของเหตุและผล
คำสำคัญ : องค์กร,วินัย
บทนำ
จากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ
สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2554
ที่ได้สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือน ระบบสาธารณูปโภคถูกทำลาย ผู้คนล้มตาย
ไร้ที่อยู่อาศัย ต้องอยู่อย่างยากลำบาก นอกจากนี้ธุรกิจอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
เคราะห์ซ้ำยังเกิดเหตุการณ์วิกฤตินิวเคลียร์รั่วไหลที่มีผลกระทบกับความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่น
แต่จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นนอกจาก มหันตภัยและความพินาศแล้ว ผู้คนทั่วโลกยังได้เห็นมุมมองอีกด้านคือการแสดงความมีระเบียบ
มีวินัยของชาวญี่ปุ่น การเข้าคิวซื้อของจากห้างร้านที่มีสินค้าอยู่เพียงน้อยนิดโดยไม่มีการแย่งชิง
แต่กลับอยู่ในความสงบเรียบร้อยเป็นระเบียบ
นอกจากนั้นการขโมยแย่งชิงทรัพย์สินในช่วงวิกฤตก็ไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งตรงกันข้ามกับวิกฤตน้ำท่วมของไทยในปี พ.ศ.2554 เป็นอย่างมากซึ่งผู้คนต่างแย่งชิงกักตุน อาหารข้าวของ ที่เกินความจำเป็นในการดำรงชีวิตเป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดความมีวินัยของคนในชาติ
ในงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี
พ.ศ. 2556 ภายใต้แนวคิดจากคำขวัญของ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มอบให้ในปีนี้ว่า “รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้
เพิ่มพูนปัญญานำพาไทยสู้อาเซียน”
พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน
2551มาตรา 80
ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาวินัยโดยกระทำการหรือไม่กระทำการตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้โดยเคร่งครัดอยู่เสมอ
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าความมีระเบียบวินัย
มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาสังคมของมนุษย์ และมีความสำคัญต่อทุกองค์กร
ทุกระดับชั้น และควรนำระเบียบวินัยไปปรับใช้กับองค์กรของตน เพื่อสร้างความเรียบร้อยมีระเบียบวินัยแก่องค์กร
เช่น การรักษา การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของบริษัท การลาป่วย ลากิจ
หากพนักงานที่ต้องการลาป่วย หรือลากิจ ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบวินัยของบริษัท
ถ้าไม่กระทำตามก็ถือว่าฝ่าฝืนและเป็นบุคคลที่ขาดวินัย ซึ่งก็จะได้รับโทษตามที่บริษัทได้กำหนดเอาไว้
นอกจากนี้การปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ ขยันหมั่นเพียร
ปฏิบัติตามคำแนะนำหรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชา การให้ความร่วมมือกับเพื่อนร่วมงาน
การละเว้นจากการแตกความสามัคคีระหว่างเพื่อนร่วมงาน เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นวินัยที่องค์กรจะต้องมี
บทความนี้มุ่งเสนอแนวคิดตามหลักวินัย 5 ประการเพื่อการนำไปปรับใช้ในการพัฒนาองค์กร
ความหมายของวินัยและองค์กรแห่งการเรียนรู้
วินัยตามความหมายของพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.2542 หมายถึง ระเบียบแบบแผนและข้อบังคับ ข้อปฏิบัติ เช่นวินัยทหารทหารต้องยึดมั่นในวินัยเมื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาปีพ.ศ.
2547 แล้วสามารถอธิบาย คําว่า “วินัย” ได้ใน 2 ลักษณะ คือ
1. หมายถึง ระเบียบ กฎเกณฑ์ แบบแผน ความประพฤติที่ทางราชการกําหนดให้
ข้าราชการจะต้องยึดถือปฏิบัติ
2. หมายถึง
ลักษณะเชิงพฤติกรรมที่ข้าราชการแสดงออกมาในทางที่ถูกที่ควรเป็นการ
ควบคุมตนเองให้แสดงพฤติกรรมที่ถูกระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือแบบแผนที่ทางราชการกําหนดไว้
(ธันว์ วิสิทธิ์พานิช. :
www.law.cmu.ac.th) วินัยและองค์กร ถ้าให้ความหมายโดยมองในแง่ถ้อยคำแล้ว
www.law.cmu.ac.th) วินัยและองค์กร ถ้าให้ความหมายโดยมองในแง่ถ้อยคำแล้ว
“วิ” แปลว่า
“ดี” หรือ “ต่าง”
“นัย” แปลว่า “ทาง” (คำนาม) “นำไป”
(คำกริยา)
“วินัย” แปลว่า “เครื่องนำไปในทางที่ดี”
ผู้มีวินัยจะเป็นคนดี
“วินัย” แปลว่า
“เครื่องนำให้มีความแตกต่าง”
“องค์กร” แปลว่า “บุคคล
คณะบุคคลหรือสถาบันซึ่งเป็นส่วนประกอบของหน่วยงานใหญ่ที่ทำหน้าที่สัมพันธ์กันหรือขึ้นต่อกัน”
องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)
องค์กรเรียนรู้
(Learning Organization) เป็นแนวคิดในการพัฒนาองค์กรโดยเน้นการพัฒนาการเรียนรู้สภาวะของการเป็นผู้นำในองค์กร
(Leadership) และการเรียนรู้ร่วมกัน ของคนในองค์กร (Team
Learning) เพื่อ ให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์
และทักษะร่วมกัน และพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขัน
Peter M. Senge ให้คำนิยามขององค์กรแห่งการเรียนรู้ ซึ่งกล่าวพอสรุปได้ว่า
องค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ ที่ซึ่งมนุษย์สามารถขยายศักยภาพ (Capacity) อย่างต่อเนื่องในการสร้างผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
เป็นที่ซึ่งรูปแบบความคิดความทะเยอทะยานร่วมของทุกคน (Collective
Aspiration) ได้รับการยอมรับและเป็นที่ซึ่งมนุษย์เรียนรู้ที่จะเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง
องค์กรแห่งการเรียนรู้มีบรรยากาศแห่งความไว้ใจ (Trust)
มีสัมพันธภาพภายใน (Relationship) ที่ดี
มีการยอมรับซึ่งกันและกัน (Acceptance)
ของสมาชิกมีความสอดคล้องและกลมกลืน (Synergy)
ตลอดจนสามารถสร้างผลลัพธ์ที่นำมาซึ่งความสำเร็จได้
โดยที่ปัจจัยและความสำเร็จเหล่านี้เกิดจากการพัฒนาความรู้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของทีมอย่างต่อเนื่อง
(สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ. 2548 : 28)
ความสำคัญของวินัย 5 ประการ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นักศึกษามหาวิทยาลัย
รามคำแหง เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2520
ว่า
“...อิสรภาพ กับวินัย
ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนกับเป็นสิ่งตรงข้ามกันนั้น แท้จริงเป็นของคู่กัน ทั้ง
จำเป็นจะต้องใช้ควบคู่กันเพื่อให้ควบคุมกันอยู่เสมอ
มิฉะนั้นจะหวังผลที่ดีอันพึงประสงค์ไม่ได้
อย่างท่านทั้งหลายซึ่งมีความรู้
ความคิด สติปัญญา สามารถที่จะสร้างประโยชน์ต่าง ๆ ให้พร้อมมูล อยู่นี้ ถ้าขาดวินัย
ก็อาจปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นไปตามความสะดวกสบาย
ทำให้สูญเสียประโยชน์ที่พึง จะได้ไปเปล่าๆเท่ากับได้เบียดเบียนทำลายตนเอง
และทำลายผู้อื่นให้เสียหายด้วยอย่างน่าตำหนิที่สุด
เพราะฉะนั้นจำเป็นที่ทุกคนจะต้องใช้วินัยบังคับบัญชา คือ
บังคับให้ทำความดีความเจริญให้แก่ตน
เผื่อแผ่ความดีความเจริญนั้นแก่ผู้อื่นพร้อมกันไปด้วย...”
พระธรรมปิฎก
(2538: 8-12) ได้นำเสนอไว้ว่า
การพัฒนามนุษย์ในระยะยาวจึงต้องมีวินัยเป็นฐานเพื่อให้มนุษย์สามารถนำศักยภาพของตนออกมาร่วมสร้างสรรค์สังคมอย่างได้ผลถ้าชีวิตและสังคมขาดวินัยย่อมทำให้เกิดความวุ่นวายต่างๆในที่สุดก็จะสูญเสียโอกาสในการที่จะดำเนินชีวิตและทำกิจการของสังคมให้เป็นไปด้วยดี
วินัยเกิดขึ้นได้ต้องมีการอบรมและฝึกฝนเพราะวินัยเป็นนามธรรมที่เป็นความจริงได้จากการที่มนุษย์ยอมรับไม่ใช่ความจริงตามธรรมชาติ
กฎ 5 ข้อ สู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
องค์กรไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
องค์กรแห่งการเรียนรู้เกิดจากการเรียนรู้ของบุคคลในองค์กรกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ
บุคคลเป็นผู้สร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม
บุคคลที่จะสามารถสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้ต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากบุคคลทั่วไป
Peter M. Senge เรียกวิธีการสร้างทักษะและความสามารถของบุคคลดังกล่าวว่า
กฏหรือวินัย (Discipline) โดยได้นำเสนอทักษะและความสามารถที่จำเป็นของบุคคลสำหรับการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ไว้ดังต่อไปนี้
วินัยประการที่ 1 : ความรอบรู้แห่งตน (Personal Mastery)
การเรียนรู้ขององค์กรจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลมีการเรียนรู้เท่านั้น
การฝึกฝนอบรมตนด้วยการเรียนรู้อยู่เสมอเป็นรากฐานสำคัญ
เป็นการขยายขีดความสามารถให้เชี่ยวชาญมากขึ้น ความรอบรู้เป็นผลร่วมของทักษะและความสามารถ
เป็นสภาพที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงเห็นว่าอะไรมีความสำคัญต่อเรา ต่อองค์กรขณะเดียวกันก็เห็นภาพในอนาคต (Vision) ที่พึงเป็นได้
Personal
Mastery นอกจากจะกระตุ้นให้บุคคลเกิดความต้องการพัฒนาขีดความสามารถของตนแล้ว
ยังทำให้เขาเกิดความต้องการเพิ่มขีดความสามารถของบุคคลอื่นที่อยู่รอบข้างด้วย
ซึ่งเขาจะทำโดยการสร้างบรรยากาศที่ให้ความสำคัญและส่งเสริมบุคคลที่มีความต้องการเพิ่ม
Personal Mastery ของตน การส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ที่มีความกระตือรือร้นและต้องการเรียนรู้
จะทำให้เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อนำความรู้ที่ได้รับจากการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้
ดังนั้น Personal Mastery
จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญสำหรับองค์กรแห่งการเรียนรู้
วินัยประการที่ 2 : แบบแผนความคิดอ่าน
แผนความคิดอ่าน ได้แก่ ข้อตกลงเบื้องต้น ความเชื่อพื้นฐาน ข้อสรุปหรือภาพลักษณ์ที่ตกผลึกในความคิดอ่านของคนที่มีอิทธิพลต่อความรู้ความเข้าใจต่อสรรพสิ่งในโลก
มีผลต่อการประพฤติปฏิบัติ ต่อค่านิยม เจตคติที่เขามีต่อบุคคล
สรรพสิ่งและสถานการณ์ทั้งหลาย หน้าที่ของวินัยประการที่
2 ก็เพื่อฝึกฝนให้เราได้เข้าใจ แยกแยะระหว่างสิ่งที่เราเชื่อกับสิ่งที่เราปฏิบัติ การสืบค้นความคิดความเชื่อของเรา ทำให้เราท้าทายและปรับขยายขอบเขตและกระบวนการความคิดความเชื่อของเรา
เข้าใจมุมมองและการคิดของผู้อื่น
Peter
M. Senge เชื่อว่าความคิดความเชื่อแบบแผนความคิดอ่านของแต่ละคนมีข้อบกพร่อง
ดังนั้นต้องอาศัยวินัยที่ 5 คือการคิดอย่างเป็นระบบ เข้าไปร่วมทำงานด้วยซึ่งจะมีพลังเกิดผลดีสูงสุด ผู้บริหารพึงผสานแบบแผนความคิดอ่านของตนเข้ากับการฝึกทักษะการคิดอย่างเป็นกลยุทธ์อย่างเป็นระบบที่เน้นภาพใหญ่
เน้นความเชื่อมโยงขององค์ประกอบย่อยให้ได้
บุคคลบางคนมี
Mental Model เกี่ยวกับงานของตนที่ไม่ถูกต้อง เช่น
เข้าใจว่างานที่ตนทำมีความกดดันมากกว่าผู้อื่น
ตนเองต้องเครียดและทำงานหนักกว่าผู้อื่น บุคคลที่มี Mental Models เช่นนี้ จะเกิดความท้อแท้และขาดความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆ มักจะขาดงาน มาสายลาป่วยอยู่บ่อยๆ
แต่ถ้าหากเขาสามารถเปลี่ยน Mental Models ให้ถูกต้องและเข้าใจว่าเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่แตกกต่างจากตน
แต่เพื่อนร่วมงานกลับสามารถทำงานได้อย่างเป็นสุข เขาก็จะสามารถปรับปรุงตนเองได้
องค์กรพึงเปิดเวทีที่สะท้อนถึงชุมชนของการปฏิบัติ
(community of practice) ให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเรียนรู้ร่วมกัน อาทิ
เครือข่ายการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ การแลกเปลี่ยนความเห็น
การพบปะกันตามทางเดิน การเล่าเรื่อง
การเล่าประสบการณ์ เทคนิคการจัดประชุม
แนวทางใหม่ ๆ ของการปฏิบัติงาน การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกัน ดังนั้นองค์กรเรียนรู้ได้ ผ่านการปรับปรุงแบบแผนความคิดร่วมกัน
Peter
M. Senge ได้อธิบายเรื่องของ Mental Models ไว้ว่า
Mental Models ที่แตกต่างกันจะทำให้บุคคลสองคนมองและอธิบายเหตุการณ์เดียวกันแตกต่างกัน
เนื่องจากบุคคลทั้งสองให้ความสนใจกับรายละเอียดที่แตกต่างกันของเหตุการณ์ นอกจาก Mental
Models จะเป็นสิ่งที่กำหนดวิธีมองโลกของบุคคลแล้ว
ยังกำหนดพฤติกรรมหรือการกระทำของบุคคลด้วยเช่น เมื่อ Mental Models ของเราเชื่อว่ามนุษย์น่าไว้วางใจ เราก็จะปฏิบัติต่อบุคคลต่างๆ แตกต่างจาก
Mental Model ที่เชื่อว่ามนุษย์ไม่น่าไว้วางใจ
วินัยประการที่ 3 : วิสัยทัศน์ร่วม
(Shared Vision)
วิสัยทัศน์หรือภาพในอนาคตที่ปรารถนาให้เกิดมีขึ้นในองค์กรนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อภาวะผู้นำทุกคน
เป็นพลังขับเคลื่อนในภารกิจทุกอย่างขององค์กรให้มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน
เป็นจุดร่วมและพลังของการเรียนรู้ของสมาชิกในองค์กร ผู้นำต้องพัฒนาวิสัยทัศน์เฉพาะตน (personal
vision) ขึ้นมาก่อนจากคุณค่าส่วนบุคคล ความห่วงใย ให้ความสำคัญกับสิ่งใด
จากการคิดได้ คิดเป็น จากนั้นก็ขายฝัน
คิดดังๆ แบ่งปันให้ผู้อื่นได้รู้ เข้าใจ
เห็นคล้อยตามด้วยการสื่อสาร โน้มน้าวหรือดังที่เรียกกันว่า
“walk the talk” ทำให้คำพูดหรือภาพนั้นเดินได้ กลายเป็นวิสัยทัศน์ร่วม (shared vision) ที่มีการแบ่งปันกับผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับขององค์กรโน้มน้าวให้เกิดการปฏิบัติร่วมกันไปในทิศทางที่ทำให้ภาพวิสัยทัศน์นั้นเป็นจริงขึ้นมา (turn vision into action) ในลักษณะของปฏิบัติการในเชิงรุก
(proaction) มิใช่รอหรือตามแก้ไข (reaction)
ยกตัวอย่างการประกาศเอกราชของประเทศอินเดีย
เป็นการ Shared Vision มหาตมะ คานธี
ซึ่งเป็นผู้นำการต่อสู้ได้ทำให้ภาพ ความเป็นประเทศเอกราช เป็น Shred Vision
ของประชาชนอินเดียทั้งประเทศทำให้ชาวอินเดียเกิดความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับกองทัพของเจ้าอาณานิคมอังกฤษจนสามารถประกาศเอกราชของอินเดียได้
ทั้งๆที่การกู้เอกราชเป็นภารกิจที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการต่อสู้ระหว่างมหาตมะ คานธี
และชาวอินเดียกับกองทัพอังกฤษเป็นการต่อสู้หลักอหิงสากับแสนยานุภาพอันยิ่งใหญ่
หากปราศจากวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและเป็นอนาคตที่คนอินเดียทั้งประเทศปรารถนาร่วมกันแล้ว
ภารกิจดังกล่าวคงไม่อาจสำเร็จได้
Peter
M. Senge เห็นว่าการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมนี้เป็นการสร้างความคิดที่ใช้ปกครอง
(governing ideas) ชี้นำองค์กรว่าองค์กรคิดอย่างไร
มีเป้าหมาย พันธกิจ และยึดถือคุณค่าใด
วิสัยทัศน์ที่ดีต้องสอดคล้องกับคุณค่าหรือค่านิยมที่ผู้คนยึดถือ
ในการดำรงชีวิตประจำวัน มิเช่นนั้นแล้ววิสัยทัศน์นั้นจะเป็นแค่กระดาษหรือข้อความที่ไร้พลังขับเคลื่อน
ความคิดที่ใช้ปกครองนี้มุ่งตอบคำถามหลัก 3 ประการที่สะท้อนให้เห็นว่าเราเชื่อมั่นในสิ่งใด
กล่าวคือ
อะไร - ภาพในอนาคตที่ต้องการให้เกิดคืออะไร
ทำไม
- ทำไปทำไม ด้วยเป้าหมายหรือพันธกิจใด
มีส่วนช่วยเหลือสังคมเช่นไร
อย่างไร - เราจะปฏิบัติตนเช่นไรให้วิสัยทัศน์และพันธกิจนั้นเป็นจริง
ด้วยความซื่อสัตย์
จริงใจ เสียสละ อดทน เป็นต้น
วินัยประการที่ 4 : การเรียนรู้ของทีม
(Team Learning)
เราจะทำอย่างไรให้ระดับความสามารถของทีมเหนือกว่าระดับความสามารถของรายบุคคลในทีม ทีมสามารถพัฒนาขีดความสามารถประสานสัมพันธ์กันได้เป็นอย่างดี
แนววิธีฝึกฝนสร้างการเรียนรู้ของทีมที่ดีและคุ้มค่านั้น Peter M. Senge เห็นว่า ทำได้โดยผ่านการพูดคุย (dialogue) และการอภิปราย (discussion) ของผู้คนในองค์กร
ทีมในองค์กรที่ขาดการปรับทิศทางทำความเข้าใจระหว่างกันก่อนจะมีพลังงานที่สูญเสียมากมาย ขาดทิศทางร่วมกัน ขาดการประสานสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้นPeter
M. Senge จึงให้ความสำคัญของการปรับแนวปฏิบัติให้ตรงกัน
(alignment) ว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญก่อนที่จะมีการเพิ่มอำนาจในการปฏิบัติ
(empowerment) ให้แก่บุคคล หรือทีม
ในการตัดสินใจหรือการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ตัวอย่างการทำงานของทีมงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
ซึ่งทีมงานดังกล่าวประกอบด้วยบุคลากรต่างๆ ที่มีความรู้ทักษะ
และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น ทีมงานวิจัยและพัฒนาเครื่องสำอางจะประกอบด้วย
แพทย์ผิวหนัง แพทย์อายุรกรรม เภสัชกร ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม
นักวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการ นักวิทยาศาสตร์ด้านสมุนไพร นักวิทยาศาสตร์ด้านเคมี ฯลฯ
บุคคลเหล่านี้แต่ละคนจะมีความรู้
ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉพาะด้านที่แตกต่างกัน
ในการทำงานของทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณ์ใหม่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด
ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่ทีมงานเผชิญจะถูกแก้ไขด้วยวิธีการต่างๆ ที่ได้จากการบูรณาการความรู้
ความเชี่ยวชาญ
และประสบการณ์ของบุคลากรทุกคนในทีมงานเมื่อการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งล้มเหลว
ทีมงานก็จะได้เรียนรู้ร่วมกันและพยายามแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการอื่นต่อไป
หากทีมงานเห็นว่ายังขาดข้อมูลหรือความรู้บางอย่างที่จำเป็นต่อการทำงานบุคลากรในทีมงานที่มีศักยภาพในด้านดังกล่าวก็จะค้นคว้าหาความรู้และข้อมูลที่ต้องการเพิ่มเติม
แล้วนำกลับมาแปรเป็นศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของทีม
การทำงานของทีมงานที่เต็มไปด้วยการสอดประสานที่ดีจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะประสบความสำเร็จในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ต้องการ Peter M. Senge เห็นว่า การเรียนรู้เป็นทีมมี 3 ลักษณะสำคัญได้แก่
1. สมาชิกทีมต้องมีความสามารถในการคิด
ตีปัญหา หรือประเด็นพิจารณาให้แตก หลายหัวร่วมกันคิด ย่อมดีกว่าการให้บุคคลคนเดียวคิด
2. ภายในทีมต้องมีการทำงานที่สอดประสานกันเป็นอย่างดี คิดในสิ่งที่ใหม่และแตกต่าง มีความไว้วางใจต่อกัน
3. บทบาทของสมาชิกทีมหนึ่งที่มีต่อทีมอื่นๆ
ขณะที่ทีมหนึ่งสมาชิกเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การประพฤติปฏิบัติของทีมนั้นยังส่งผลต่อทีมอื่นๆ ด้วย ซึ่งจะช่วยการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ให้มีพลังมากขึ้น
วินัยประการที่ 5 : การคิดอย่างเป็นระบบ
(System Thinking)
เป็นวินัยที่มีความสำคัญมากที่สุด ที่ในความเป็นจริง ผู้คน บุคลากร
ผู้บริหารหลายคนไม่สามารถฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถคิดได้อย่างเป็นระบบอย่างเท่าทันการณ์
หรือคิดได้ล่วงหน้า ผลก็คือทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติงานในการบริหารมากมาย
บ้างคิดว่าที่ตนปฏิบัติงานทุกวันเป็นการแก้ไขปัญหาและพัฒนางาน เนื่องจากการคิดสั้น
ผันตามเหตุการณ์หรือสถานการณ์ ทำให้ขาดการเห็นภาพใหญ่
ไม่ต่อเนื่อง ไม่เห็นความเชื่อมโยงของส่วนต่าง
ๆ ที่จะได้รับผลกระทบติดตามมาจากการปฏิบัติงานของเขา ทั้งที่แท้จริงแล้วการปฏิบัติงานของเขาเป็นการสั่งสมปัญหาให้คนต่อ
ๆ มาต้องแก้ไข ซึ่งจำต้องใช้ความสามารถที่มากกว่าเดิมหลายเท่าตัวที่เดียว คำว่า“ระบบ” คือส่วนย่อยที่เกี่ยวเนื่องกันในส่วนใหญ่
สะท้อนให้เห็นการขึ้นแก่กันของส่วนย่อย ๆ ผลบวกของแต่ละส่วนจะมีพลังน้อยกว่าร่วมแรงร่วมใจหรือการผนึกกำลังของส่วนย่อยอย่างพร้อมเพรียงกัน
การทำงานของงานหนึ่ง ย่อมจะมีผลกระทบต่อส่วนย่อยต่าง
ๆ ที่เหลือในระบบ ส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรือง
ความล่มสลาย กำไร-ขาดทุน
และภาพลักษณ์ขององค์กร ในมิติของสถานการณ์และเวลาต่างๆลักษณะของการคิดอย่างเป็นระบบที่ดี ได้แก่
1. คิดเป็นกลยุทธ์ ชัดเจนในเป้าหมาย มีแนวทางที่หลากหลาย แน่วแน่ในเป้าหมาย มีวิสัยทัศน์
2. คิดทันการ ไม่ช้าเกินการณ์ มองให้เห็นความจริง บางทีชิงปฏิบัติก่อนปัญหาจะเกิด
3. เล็งเห็นโอกาส ในทุกปัญหามีโอกาส ไม่ย่อท้อ สร้างประโยชน์ มองให้ได้ประโยชน์
ตัวอย่าง เช่นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ถูกทำลาย
มนุษย์ติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อลดอุณหภูมิของอากาศ
แต่ความร้อนที่เกิดจากการทำงานของเครื่องปรับอากาศก็ทำให้อุณภูมิของโลกสูงขึ้น
นอกจากนี้ สารเคมีจากเครื่องปรับอากาศก็ยังสามารถทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก
ซึ่งส่งผลให้ความสามารถของชั้นบรรยากาศในการป้องกันรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ลดลง
รังสีความร้อนเหล่านี้ก็ทำให้โลกร้อนขึ้น
การผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในการเดินเครื่องปรับอากาศก็เพิ่มความร้อนให้กับโลก กระบวนการผลิตน้ำมันและเชื้อเพลิงอื่นๆ
ที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ก็ทำให้เกิดความร้อนเพิ่มมากขึ้น
พลังงานบางอย่างที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า เช่น พลังงานน้ำจากเขื่อน
ก็ได้มาจากการทำลายป่าไม้จำนวนมหาศาล
ผลพวงจากการทำงานของเครื่องปรับอากาศที่มนุษย์ติดตั้งเพิ่มขึ้นตลอดจนผลพวงของการผลิตกระแสไฟฟ้า
การผลิตเชื้อเพลิงและพลังงานสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าที่นำมาเดินเครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้น
ก็จะทำให้โลกร้อนยิ่งขึ้นไปอีก วงจรเช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด
เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถเชื่อมโยงเหตุและผลของสิ่งต่างๆเหล่านี้เข้าด้วยกัน หากมนุษย์ใช้
System Thinking ในการแก้ปัญหาโลกร้อน
มนุษย์คงเลือกที่จะหันกลับไปอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติแทนวิธีการที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน
กล่าวโดยสรุปคือ
System Thinking เป็นวิธีการที่ทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น โดยทำให้มองเห็นเหตุ (Causes) และผล (Effects) ของปัญหาต่างๆชัดเจนขึ้น
เป็นผลให้สามารถกำหนดกลยุทธ์และแก้ปัญหาได้ดีขึ้น Systems Thinking ยังช่วยให้สามารถคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นของกลยุทธ์และการแก้ไขปัญหาโดยไม่ได้คาดหวังมาก่อน
(Unintended Consequence) ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงกลยุทธ์ที่อาจจะแก้ปัญหาหนึ่งแต่ก่อให้เกิดปัญหาใหม่โดยไม่ตั้งใจ
5 วินัยช่วยสร้างองค์กรความรู้
1. การกระตุ้นส่งเสริมการเรียนรู้ตามความสนใจของบุคคลอย่างต่อเนื่อง
เช่นการฝึกอบรมทักษะความสามารถต่างๆช่วยให้พนักงานในองค์กรมีความรู้ความเชี่ยวชาญมากขึ้นและบุคคลดังกล่าวยังมีส่วนช่วยให้เพื่อนร่วมงานที่อยู่รอบข้างได้พัฒนาตามไปด้วย
2. การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีมและการเปิดโอกาสให้พนักงานในองค์กรได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
ช่วยให้เข้าใจปัญหาการทำงานของเพื่อนร่วมงานและสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกันในองค์กร
3. การสร้างวิสัยทัศน์
เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนในองค์กรได้แสดงความต้องการและความคิดเห็นของตนเอง
ช่วยให้อีกฝ่ายทราบความต้องการและแสดงทัศนคติที่มีต่อกันของอีกฝ่าย
4. การทำงานร่วมกันเป็นทีมช่วยให้บุคลากรมีการระดมความคิด
ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนประสบการณ์
และช่วยกันตัดสินใจงานลดข้อผิดพลาด และงานมีความประสบความสำเร็จเร็วขึ้น
5. การมองลักษณะองค์รวมช่วยให้เข้าใจปัญหาได้อย่างรอบด้าน
ช่วยให้รู้จักการวิเคราะห์เหตุและผล
และช่วยในการคาดเดาเหตุการณ์หรือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
สรุป
วินัย 5
ประการคือ แนวทางในการปฏิบัติเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ทั้งองค์การ
ซึ่งประกอบด้วย
บุคลากรที่มีความรอบรู้ (Personal mastery) คือบุคคลที่ปรารถนาที่จะเพิ่มพูนศักยภาพของตนให้ทำสิ่งที่ดีขึ้น
หากได้รับการส่งเสริม ฝึกฝนและพัฒนาจากองค์กรอยู่เสมอ จะเป็นการเพิ่มศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถมากขึ้นมีความ
เก่งคิด เก่งทำ และมีความชำนาญงานที่ตนเองทำ สิ่งเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นขององค์กรแห่งการเรียนรู้ แบบจำลองความคิด (Mental models) เป็นการฝึกฝนให้พนักงานรู้จักการปรับวิธีคิด
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในรูปแบบและวิธีการทำงานเดิมๆ เช่นเคยทำงานแบบไหนก็ทำแบบนั้นไม่มีการพัฒนาในรูปแบบใหม่ๆ
และช่วยให้พนักงานเปิดใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น มีความคิดบวก มีความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ร่วม
(Shared vision) คือทุกคนมองเห็นภาพอนาคตร่วมกัน
ช่วยให้บุคคลกับองค์กรทำงานอย่างมีเป้าหมาย และมีส่วนสำคัญต่อการมุ่งไปสู่จุดหมาย ความมีวิสัยทัศน์ช่วยกระตุ้นให้ทุกคนมีความรู้สึกน่าสนใจ
มีความผูกพัน มุ่งมั่นปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจและท้าทายเกิดความหมายในชีวิตการทำงาน
มีความภาคภูมิใจและทุ่มเทเพื่อคุณภาพของผลงาน การเรียนรู้เป็นทีม Team Learning
เป็นการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์กันระหว่างผู้ร่วมงาน
ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งเน้นการทํางานเพื่อก่อให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจ
มีความสามัคคีในการร่วมมือกันแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในองค์กรแห่งการเรียนรู้ไม่ควรให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเก่งอยู่ผู้เดียวในองค์กร
ควรก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด ก่อให้เกิดเป็นความรู้ ความคิดร่วมกัน
ภายในองค์กร การคิดเชิงระบบ (System Thinking) หรือคิดแบบบูรณาการ คือความสามารถที่จะเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ โดยมองเห็นภาพความสัมพันธ์กันเป็นระบบได้อย่างเข้าใจและมีเหตุมีผล
เป็นลักษณะการมองภาพรวมหรือระบบใหญ่ (Total System) ก่อนว่าจะมีเป้าหมายในการทํางานอย่างไร
แล้วจึงสามารถมองเห็นระบบย่อย (Subsystem) ทําให้สามารถนําไปวางแผนและดําเนินการทําส่วนย่อยๆ
นั้นให้เสร็จทีละส่วนนั้นได้ เมื่อครบทั้ง 5 ประการแล้วก็จะเกิดผลให้ทำงานสนุก ทุกคนเก่ง งานไม่มีปัญหา
ทำงานง่ายขึ้น
เอกสารอ้างอิง
จันทร์สุดา ภูล้นแก้ว. (19 มกราคม 2555). วินัย
5 ประการของ peter senge. [เว็บบล็อก].
สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2556 สืบค้นจาก http://pat52junsuda.blogspot.com
ปาริฉัตต์ ศังขะนันทน์. (7 ตุลาคม 2553). องค์กรอัจฉริยะ
: องค์กรแห่งการเรียนรู้. [เว็บบล็อก].
สืบค้นจาก http://km.rubber.co.th
ราชบัณฑิตยสถาน. (ม.ป.ป.). ราชบัณฑิตยสถาน.
สืบค้นเมื่อ 18 ตุลาคม 2556
สืบค้นจาก http://rirs3.royin.go.th
วรวรรณ วาณิชย์เจริญชัย. (ม.ป.ป.). วินัย 5
ประการ. สืบค้นจาก http://www.ns.mahidol.ac.th:
สมศักดิ์ ดลประสิทธ์. (ม.ป.ป.). ความรู้เกี่ยวกับวิสัยทัศน์.
สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2556
สืบค้นจาก http://www.moe.go.th/wijai/vision2.htm
สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ. (2548). แนวทางการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ด้วย
Competency based
Learning (พิมพ์ครั้งที่
2). กรุงเทพ ฯ: ศิริวัฒนา อินเตอร์พริ้นท์.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น